วันศุกร์ที่ 30 ธันวาคม พ.ศ. 2554

ชีวิต ความหวัง ในปีใหม่ๆ

           วันที่ทุกอย่างเคลื่อนตัวออกจากจุดศูนย์กลาง วันที่ถือเป็นวันสุดท้ายของภาระ การหอบหิ้ว ใจร้าว ตรากตรำกับสภาวะทั้งหลายในปีที่มีการพลิกผันทั้งการเดินทาง เรื่องราว ความคาดหัวง ความสำเร็จ  ล้มเหลว คลุกคลานทางอารมณ์ ผู้คน มากมาย เป็นปีที่ชีวิตมีการเปลี่ยนแปลงผกผันจากจุดหนึ่งไปยังจุดที่ไม่เป็นหนึ่ง แต่การก้าวผ่านพ้นมาได้เป็นรางวัลชีวิตที่หลายๆครั้งไม่เคยประสบ ปีที่ความอ่อนไหว อ่อนโยน ท่ามกลางการพบปะ ท้าทาย ความรู้สึกนึกคิด หัวใจอ่อนแรง แข็งกร้าว ปะปนผสมปนเป การเดินตามทางวิถีของสันดานเดิม ความสุขใกล้ตัวที่ไม่รู้ว่าเมื่อผ่านพ้น ชม. ที่ 25 ของวันสุดท้ายปีจะยังคงอยู่ตลอดไปหรือชั่วคราวแค่ไหน ต้องยอมรับและเข้าใจสิ่งต่างๆอย่างที่ผ่านมา เราอาจเดินอยู่บนเส้นทางนี้เพื่อพบเจอสิ่งไม่คาดฝัน ความสัมพันธ์ที่ซับซ้อน หรือเรียบง่าย อยู่ที่ใคร อยู่ที่เธอ อยู่ที่เรา อยู่ที่วันนี้ ความสุขอย่างง่ายของเรา ความสุขอย่างง่ายของฉันและเธอ  การเดินทางขึ้นฟ้าลงดินหกเหินเกินทะยาน เพื่อกลับมาสู่บ้านเก่าที่เราต่างรู้ว่า ริมเจ้าพระยากับผู้คนที่คุ้นเคย วางใจในวัยเด็ก ความสุขที่ชีวิตยอมสยบต่อความเรียบง่ายวิถีแม่น้ำ แม่น้ำของหัวใจ และอาจเป็นเธอใช่ไหมที่นำพาความรักกลับมา สู่แม่น้ำของเด็กชายที่เหม่อมองกระแสสินธุ์ ในเย็นย่ำที่ตะวันคล้อยต่ำสบตาเรา บนผิวน้ำใหญ่ หลังบ้านของเรา จะรอคอยเธอ และคิดถึงเธอเสมอ...

วันอังคารที่ 27 ธันวาคม พ.ศ. 2554

เช้าที่ไม่มีฝนพรำมา

             ความสวยงามจากสิ่งที่เป็นเธอ ความรู้สึกที่ลืมไปขณะการเดินทาง มีสัญญาระหว่างกายและใจที่เป็นหนึ่ง การได้ผ่านทางสายเดิมซ้ำไปซ้ำมา แต่สูงชันตามการหลอกหลอนของอดีต ที่ข่มใจให้เบื่อหน่ายชินชากับสิ่งที่อยู่ตรงหน้าเร็วกว่าที่จิตใต้สำนึกกำหนด ความรักในตัวตนลดลง สนใจความต่อเนื่องมากขึ้น เธอชดเชยความขาดหาย ความหวัง การได้กลับมารู้สึกในช่วงเวลา ที่ร่างกายลมหายใจเราก่ายกอด บ่งบอกถึงสารที่อยู่ภายใน เคมี ต่างๆที่ครุกรุ่นได้ดีกว่าคำพูด สัญญาจอมปลอม จะเชื่อในความเป็นธรรมชาติที่สุดเพราะการเลยผ่านสิ่งที่ เป็นครรลองจังหวะชีวิตไม่ได้ช่วยต่อเติมความสุขได้เท่ากับปริมาณที่อยากต้องการ ฉันเดินทางมาเพื่อพบเจอร่องรอยของคนอื่น สวมทับรอยทางของเรา เงาของเราทอดยาวไปถึงแสงอาทิตย์ ดวงจันทร์ ฝันและหวังจากนี้ จะไม่มีสิ่งที่เหนือกว่าจิตที่มีสุขของเรา

             การไม่มีอยู่ของสัญญา ความหวัง จิตที่เป็นธรรรมชาติ คือการควบคุมและคัดสรรที่เป็นจริงที่สุดของ ความสัมพันธ์ ที่ผ่านทั้งเวลา ผู้คน มาถึงจุดที่เปราะบางแข็งกร้าว แต่ลึกซึ้ง ความสุขจะกลับมาอีกครั้ง แม้ไม่ได้อยู่ในรูปแบบเดิมๆ ...ก็ตาม

วันจันทร์ที่ 26 ธันวาคม พ.ศ. 2554

หนังสือเล่มใหม่

             ความสัมพันธ์ ความรัก ที่มีจังหวะ rhythm ของท่วงทำทองแห่งภาษากาย มนุษย์นั้นมีทั้ง วัจนภาษา และ อวัจนภาษา เฉกเช่นเดียวกับสัตว์สังคมในป่าน้อยใหญ่ที่ต่างมีความเกื้อกูล ความรู้สึกในการยังชีวิตให้มีความหมายคุณค่าต่อไป วันวานมันคืนย้อนมาไม่ได้ และวันพรุ่งนี้ก็ยังไม่รู้ การได้ดำรงอยู่ในเส้นทางของความสัมพันธ์ที่ไม่ต้องมีแม้ความคาดหวังใดๆ แต่เปี่ยมไปด้วยความอาทรต่อสิ่งที่ตอบสนอง การชิดใกล้สวมกอด ริมฝีปากที่แผ่วเบา มีความหมายกับความเฉยชาของร่างกาย ดั่งการชโลมชดเชยจากน้ำฝนฉ่ำเย็น ฉันไร้ซึ่งความปรารถนาในรูปแบบที่ผู้อื่นถวิลหามานาน แต่เพราะความเข้าใจ การถอยห่าง การวางชีวิตไว้กับความเดียวดายเอง จึงไม่มีโอกาสเปิดกายและใจให้ใครจริงๆ  ความสวยงามที่ซ่อนอยู่ สำคัญกว่าสิ่งภายนอก หลายคราวที่เรานึกคิดเพ้อฝันไปกับจินตนาการความงดงาม หลงลืมความเรียบง่ายของความสัมพันธ์ อาจไม่มีเวลาเป็นตัวถ่วงจำเพาะ แต่เราก็มีความสุขได้จากความซื่อสัตย์ต่อ sense  ที่เราต่างก็รู้ถึงที่มา ระยะทางต่อจากนี้

              ฉันตื่นขึ้นมาจากความผิดหวัง
              ฉันฝื้นขึ้นมาเห็นเธอ ในเบื้องหน้า
              ฉันหยิบหนังสือเล่มใหม่มาพร้อมกับความสดชื่น
              และเธอก็กำลังเข้ามาเติมเนื้อหาที่ขาดหายไปอีกครั้ง

วันอาทิตย์ที่ 25 ธันวาคม พ.ศ. 2554

ความเป็นจริงความฝันเราห่าง

อาจจะดูใจร้าย อาจจะเหมือนไม่แคร์..
แต่ก็คงต้องบอกให้เธอไป
อยากจะมีเหตุผลบอกเธอให้เข้าใจ
แต่เธอก็คงไม่อยากจะรับฟัง
ความเป็นจริงที่ปวดร้าว ในใจฉัน)

อีกหน่อยเธอคงเข้าใจ ว่าอะไรสำคัญไปกว่า .. แค่รักกัน
อีกหน่อยซึ่งคงไม่นาน ถึงวันนั้นแล้วเธอจะเข้าใจ
ที่ฉันต้องบอกเธอให้จากกันไป ....

เจ็บในใจเธอนั้น ที่เราต้องเลิกลา
มันก็คงไม่ต่างจากใจฉัน
แต่ว่าความปวดร้าว อาจจะไม่เท่ากัน
เมื่อตัวของฉันต้องเอ่ยขึ้นมาก่อน

ยอมเป็นคนที่ใจร้าย ในวันนี้
มีเพียงคำว่ารัก คำหนึ่ง
เราคงไปไม่ถึง ไม่ถึงดวงดาวได้
ความเป็นจริงความฝันเราห่าง
ไม่เคยจะมีตรงกลาง ไม่เคยได้เข้าใจ
อยู่กันไปก็เท่านั้น

อีกหน่อยเธอคงเข้าใจ ว่าอะไรสำคัญไปกว่า .. แค่รักกัน

อีกหน่อยซึ่งคงไม่นาน ถึงวันนั้นแล้วเธอจะเข้าใจ จะรู้ว่าเหตุใด

อีกหน่อยเธอคงเข้าใจ ว่าอะไรสำคัญไปกว่า .. แค่รักกัน

อีกหน่อยซึ่งคงไม่นาน ถึงวันนั้นแล้วเธอจะเข้าใจ จะรู้ว่าเหตุใด ...

จะรู้และเข้าใจ .... ที่เราจากกัน ......

วันศุกร์ที่ 23 ธันวาคม พ.ศ. 2554

เราคงจะต้องลาจบกันแค่นี้

ขอบคุณความอัดอั้น ที่ทำให้เราจบลงด้วยดี
ขอบคุณความคาดหวัง ที่ทำให้เราจบลงด้วยดี
ขอบคุณความเฉยชา ที่ทำให้เราจบลงด้วยดี
ขอบคุณความเงียบ ที่ทำให้เราจบลงด้วยดี
ขอบคุณความเหนื่อยล้า ที่ทำให้เราจบลงด้วยดี
ขอบคุณความหวังดี ที่ทำให้เราจบลงด้วยดี
ขอบคุณ

บางทีเราอาจยังเด็กเกินไป

                   ชีวิตที่ผ่านร้อนหนาว มรสุมล่วงเลยกว่ารอบของใครหลายคนในวัยที่ อะไรหลายๆสิ่งเลยผ่านการผูกมัดของสังคม ความคิดที่ตกผลึกของใครบางคนกับมุมมองของความสัมพันธ์ เหมือนกับได้อ่านหนังสือเล่มใหญ๋จากใครบางคนที่ไม่แม้แต่เคยนึกถึง วันเวลาสอนสั่งให้คนคนนึงละทิ้งสิ่งที่คงมั่น บทเรียนร้อยพันที่ฟันฝ่า นานแล้วที่ตัวเราไม่ได้ดูเล็กจ้อยแบบวันวาน แสดงถึงโลกที่ซับซ้อน มีหลายสิ่งที่เรายังเขลา ยังต้องผจญ การนิ่งสุขุม ฟังเฝ้ามองสิ่งต่างๆผ่านพ้นเข้ามาผ่านไป คงดีที่สุด ความคิดถึง การรอคอยเกิดใหม่ตายและดับเวียนวน ความคาดหวัง เอาใจใส่ ห่วงใยมาตามจิตที่ร้องเรียก เราเป็นสัตว์สังคมวันนึงคงต้องยอมรับกฏนี้ วิถีททางที่เปลี่ยนไป ดูดกลืนวิญญาณความปรารถนา บางอย่างที่แฝงเร้น

ความคิดถึงจึงถูกบำบัดได้ด้วยน้ำเสียง
ความคิดถึงจึงถูกบำบัดได้ด้วยการพบเจอสบสายตา
ความคิดถึงจึงถูกบำบัดได้ด้วยการสวมรัดโอบกอด
และ ความคิดถึงจึงถูกบำบัดได้ด้วย เราสองคน

วันพฤหัสบดีที่ 22 ธันวาคม พ.ศ. 2554

เป็น อยู่ คือ

               การเป็นอย่างที่เราเป็น การอยู่แบบที่เราอยู่ มันคือคำตอบของการเวลาและสิ่งที่หล่อหลอม ความเชื่อ ความศรัทธาในวิถีทางทีเลือก การย่างก้าวผ่านเส้นทางขวากหนาม อุปสรรคจากอารมณ์รอบข้าง นับวันนับเดือนนับปีของหนึ่งสมองสองความคิด ความคิดที่จะปรับเปลี่ยนวิถีทางตัวเองเพื่อสิ่งใหม่ กับความคิดที่ยอมรับสิ่งที่เคยเป็นมา ความสุขในชีวิตที่เป็นอยู่(มัน)คือ อะไร ความล้มเหลวในความสัมพันธ์ ความหย่อนยานของความรักความใส่ใจ ความกระตือรือร้น การพบเจอกับเหตุการณ์ที่ซ้ำซากวนเวียน ปมด้อย ที่ทำให้ห้วงอารมณ์ดำดิ่ง สงสาร ใจอ่อน จนถูกบางอย่างเข้าครอบงำ การอุปทาน ว่าสิ่งนั้นสิ่งนี้จะช่วยบำบัดบรรเทาให้สิ่งเหล้านี้ทุเลาลง จิตเราแท้ๆที่อ่อนไหว จิตเรานะหรือที่มักง่าย เราได้ยิน เรามองเห็น เรากล้าที่จะยอมรับความจริงแค่ไหน การมองในมิติที่อีกคนมืดบอด การมองทะลุกระจกเงาของตัวตน การมองถึงจิตใจผู้อื่น การมองให้เห็นแก่นแท้ของปัญหา การมองแบบไม่ผูกติดยึดถืออคติ การมองเห็นเงาของตัวเองบนผิวน้ำที่เย็นยะเยือก เวลาคงไม่มีมากพอที่จะหลอมรวมความคิดตั้งคำถามกับสิ่งที่ไม่สามารถตอบสนองหรือเข้าถึงในสิ่งที่เป็นเรา ไม่ตอบสนองในด้านกายภาพ จินตภาพที่ห่างไกลออกไปตามเงื่อนไขของเวลา วิถีกระสุนที่แม่นยำทั้งทิศทางและความเร็ว ไม่อาจต้านเกราะกำบังที่สร้างมาเพื่อกระสุนนัดนั้นได้ฉันใด การพบเจอเดินทางครั้งใหม่เริ่มต้นอีกครั้ง การอยู่ในโลกของตัวเองมากจนเกินไปก็มีผลต่อโลกของคนอื่นๆ โลกของเธอ โลกของเรา มันยังหมุนอยู่เป็นพลวัต แต่จักรวาลนี้มันกว้างใหญ่นัก ฉันและเธอเพิ่งพบเห็นผ่านมาแค่เศษเสี้ยวเดียว คงมีเวลาอีกมากหากวาสนาเราต้องกัน ฉันจะรอเธออยู่ที่ปลายสายรุ้งอันแสนไกล ใบหน้าเธอเริ่มเลือนลาง หมอกควัน ลมพัดลมเพใบไม้ปลิว แล้วมือทั้งสองของเราก็ไม่ได้สัมผัสกันอีกตั้งแต่วันนั้น

"เป็น"ในสิ่งที่เราเป็น


"อยู่"อย่างที่เราเคยอยู่


มัน"คือ"ความสุขของเรา

วันอังคารที่ 20 ธันวาคม พ.ศ. 2554

ใบไม้มันยังผลัดใบ

                   สิ่งที่เราสัมผัสภายใต้สภาวะโลกที่มีแค่มิติ ที่3 เบาบางกว้างใหญ่เกินกว่าจะหยั่งรู้ถึงจิตใจ ทฤษฎีใดๆขวางกั้นสติปัญญา เพียงเสี้ยวที่เราเข้าใจจากนับหมื่นล้านเอกภพระบบสุริยะเดียวที่เรามองยามแสงสาดส่อง นิทราหลับฝันพลันตื่นขึ้นเจอแสงจ้าคราใดนึกหวลถึงสิ่งที่ถวิลหา คงเกิดดับอีกนับครั้งไม่ถ้วนกว่าจะตกผลึกความเป็นชาติพันธุ์บนดาวเคราะห์ที่เราเองไม่แม้อาจจินตนาการถึงโลกในเบื้องหน้า สิ่งใดที่ผ่านมากาลเวลาเป็นเส้นตรงที่มีจุดตัดที่คำนวณได้จากค่ำคืนแจ้งปีปฎิทินที่หมุนผ่าน ไม่รู้สึกถึงการมีชีวิต เพื่อความรักความหวังหรือความฝัน ใดๆ กิเลส ความอยากที่ครอบงำ ไม่ต่างจากเนื้อหนังหุ้มกายาน้ำเลือดหล่อเลี้ยงทั่วไป สิ้นศรัทธาต่อการปักใจเชื่อในความดีงาม ผลสนองจากวิทยาศาสตร์สู่โลกที่ไม่มีมิติจะตอบกลับ วันเวลาของความเลวทรามสูงส่ง บดบังความสวยงามอีกคำรบ สัญชาตญาณที่เราต่างเข้าใจรู้ดีถึงการเสพสุข ในสากล พลังที่ขับเคลื่อนให้อยากต่อเติมความฝันบนความเหนื่อยล้าของคืนวันคืออะไร ฉันวิ่งมุ่งหน้าไปคนเดียวเดียวดาย  ความกระตือรือร้นที่จะแสดงออกถึงความโหยหาในนิยามรักแตกต่างกัน ความเข้าใจและสุขจากการได้เผชิญหน้าต่างกัน  ความสุขของเธอ ความสุขของฉันถูกบำบัดด้วยที่มาที่ต่างกัน ความพยายามในการแสดงออกหลอกตัวเองฝืนข่มให้ใช่ยังไงก็คือคำตอบที่บอกเราอยู่ทุกวัน มันก็จะเป็นอีกหน้าหนังสือที่เราอ่านไปพร้อมๆกับทำความเข้าใจ เวลาไม่ตอบสนองความสัมพันธ์ ความอยากในการสานต่อลดลง ฉันชินชากับความรู้สึกนี้อีกครั้ง อีกแล้ว เมื่อการจากลามาถึง ลมหายใจของเราหยุดลง ร่างแหลกสลายไปสู่ดาวน้อยใหญ่ แสงจากตัวเราที่เกิดจากการเผาไหม้ หัวใจที่กลายเป็นเศษเสี้ยวแก้วคง เป็นจุลละลายไปพร้อมกับความแข็งแรงของสุญญากาศ ล่วงหล่นมายังใต้ต้นไม้ต้นใหญ่กลับมาเป็นปุ๋ยดินในโลกใบเล็กๆอีกครั้ง

ผู้ใดมีสิ่งที่รัก 100 ย่อมเป็นทุกข์ 100
ผู้ใดมีสิ่งที่รัก 10 ย่อมเป็นทุกข์ 10
ผู้ใดมีสิ่งที่รัก 1 ย่อมเป็นทุกข์ 1
ผู้ใดไม่มีสิ่งที่รัก ย่อมไม่มีทุกข์...

วันอาทิตย์ที่ 18 ธันวาคม พ.ศ. 2554

ทุ่งสีดำ

                   เสียงกีตาร์บาดเย็นไหลลึกจาก ธีร์ ไชยเดช คำร้อง ที่ละเมียดมะไม หลอนล้ำจินตนาการจาก พี่เล็ก Greasy cafe ผ่านการถ่ายทอดน้ำเสียงโดย อีฟ ปานเจริญ ทำให้เพลงนี้ครั้งแรกที่ได้ฟังรู้สึกถึง การคิดวนเวียน algorithm  ที่หมุนคิดอยู่กับสิ่งที่พลาดมา ในบ่อที่กักเก็บความเดียวดายทรงจำสีดำ เก็บออมความหลังที่แสนยะเยือก หมุนวันเวลาผ่านปัจจุบัน ด้วยเหตุจากรักและความทรงจำที่มากมายในวันก่อนนั้น
                   วันที่อะไรๆตอบโจทย์สนองชีวิตที่ผ่านมาถึงจุดที่บางคนต้องยอมรับสิ่งที่เป็นจริงละทิ้งทุกอย่างเพื่อรักษาชีพให้ดำรงอยู่ต่อไป  ไม่มีการขัดเกลาเล้าโลมจากบรรยากาศภายนอก ล้วนเกิดขึ้นและดับลงตามกรรม ในโลกหน้าหนาวที่ต่างออกไปฉันยังยืนเดียวดายที่เดิม ทุกอย่างมันได้เปลี่ยนไปหมดแล้วดังคำที่เราเคยกล่าวไว้มันจริงแท้แน่นอน การเรียกร้องสิ่งใดรู้สึกเชื่อมโยงเหมือนเก่าคงเป็นเหมือนเด็กน้อยร้องขอของเล่น แต่สุดท้ายก็ต้องบอกตัวเองว่ามันได้ผ่านมาแล้ว ไม่มีโอกาสนั้นอีก ได้เห็นโลกที่เต็มไปด้วยความปรีดา วันนึงชีวิตคนเราก็ต้องถึงพร้อมด้วยการมีคู่ครอง สังคมมนุษย์ที่สมบูรณ์ด้วยมิตรสหายรายล้อมยินดีกับการเริ่มต้น แต่เหลียวมองภาพถ่ายที่ยังไร้คนข้างกายเหตุใหญ่คงไม่มีใครตอบแทนเราได้ทำไมถึงยังวนเวียนอยู่กับวัฎจักรแบบนี้ ความรักของเรามันหาไม่เห็น หรือ ไม่มีความพร้อมที่เกิดจากเรา คงอยู่ต่อไปแบบที่เราเป็น อนาคตคือปัจจุบันที่เหยียบย่ำ การพบเจอลาจากรอคอยล้วนเกิดดับซ้ำซาก
                    นัยตาสีแดงจากการมีสิ่งแปลกปลอมที่ทำให้โลกสวยงามขึ้น การละเลยด้วยความเมามายบาดแผลตามร่างกาย เกิดขึ้นจากความไร้สติ ไม่อยากตื่นมาเจอสิ่งเดิมๆ เวลา ตอกย้ำให้ความคิดเดิมๆกลับมา เพราะใครเพราะเราหรือเพราะเธอ

วันศุกร์ที่ 16 ธันวาคม พ.ศ. 2554

เมื่อลมเปลี่ยนทิศ

เผื่อใจเอาไว้ก่อน ทิศทางยัง ไม่แน่นอน
เรา นั้นต่าง แตกต่างกัน หลายสิ่ง มี หลายคน หลายอย่างเหมือนกัน ในบางหน
แต่เวลา ไม่เคยเปลี่ยน กลับยังหมุนเวียนวน อยู่อย่างนั้น

เมื่อลมที่เปลี่ยน ทิศทาง ทิศทาง ทิศทาง อาจนำมาถึงการเปลี่ยนแปลง บางสิ่ง บางอย่าง
เมื่อระยะทาง และเวลา เวลาเปลี่ยน อาจทำให้ใจ
(ของคน ของคน ของเธอ เปลี่ยนไป)(ของเธอ ของเรา ของใคร เปลี่ยนแปลง)
คน สองคน ได้ตกลงกัน ในบางสิ่ง ที่จะ ว่างเว้น ซึ่งคนแปลกหน้า ต่อกันจากนี้
แต่เวลา ไม่เคยเปลี่ยน หากยังหมุนเวียนวน อยู่อย่างนี้
เผื่อใจเอาไว้ก่อน ทิศทางลม ไม่แน่นอน

เปลี่ยนไป หวั่นไหว

วันพุธที่ 14 ธันวาคม พ.ศ. 2554

ทฤษฎีสีเทา

____คนที่มีความสุข และแสนจะโชคดีที่เจอกับความรักที่สวยงามอยู่แล้ว
อยากให้ประคับประคอง ให้มันอยู่กับคุณและคนนั้นของคุณ ไปให้นาน นาน ;D
และสำหรับคนที่เป็นดังทฤษฎีที่กล่าวไปแล้ว..ขอให้อย่าท้อ...
"เกราะ" ที่สร้างขึ้นมานั้น มีได้ มีไว้ให้เรา ไม่ตกเป็นเหยื่อของอารมณ์ชั่ววูบของใครบางคน...
....แต่ก็อย่าให้มัน เป็น "เกราะ"ที่จะปิดกั้น "ตัวเอง"จาก "คนดีดี" ที่กำลังเดินมาตามทางที่ 'คนบนนั้น' กำหนด..........เพื่อให้มาพบ 'เรา' เท่านั้นพอ ;)___

         ส่วนหนึ่งจากความคิดของสาววัย 19 ที่สอนสั่งอะไรๆหลายอย่างให้แก่คนที่ตกอยู่ในบ่วงความรักความคาดหวัง ความพอดีของความสัมพันธ์  การหยุดนิ่งเนิ่นนานเกินไป การวิ่งตามจนเหนื่อยเกินไป กลับมาสู่สิ่งที่เป็นธรรมชาติ การวาง ละทิ้ง ปลดปล่อย เพียงพอกับสิ่งใหม่รอบตัว ทางแยก หลายแพร่ง ดีร้าย ล้วนกำหนดเองได้ด้วยตัวเรา
       
         ขอบคุณเธอ ที่ทำให้เกิดความรัก
         ขอบคุณความรัก ที่ทำให้เกิดความเจ็บปวดรวดร้าว
         ขอบคุณความเจ็บปวดรวดร้าว ที่ทำให้เกิดความแข็งแกร่ง
         ขอบคุณความแข็งแกร่ง ที่ทำให้เกิดความชินชา
         ขอบคุณความชินชา ที่ทำให้เกิดความเหงา
         ขอบคุณความเหงาที่ทำให้ฉันรู้จัก "เธอ"

วันอังคารที่ 13 ธันวาคม พ.ศ. 2554

13.12.11

              กอดตัวเองยังไงก็ไม่อุ่น อุณหภูมิหัวใจมีแต่หนาว
              อยู่คนเดียวมันนอนไม่ค่อยหลับ นอนลืมตาทุกคืนจนเกือบเช้า

              บางวันที่เหนื่อยไม่อยากนึกถึงวันพรุ่งนี้เพียงรอคอยให้นาฬิกาทำหน้าที่ปลุกชีวิตยามรุ่งขึ้นในภวังค์อีกครั้งตามสัญชาตญาณ วันเวลาที่หายขาดไปแลกกับสิ่งที่หล่อเลี้ยงชีพไปกับการเสพสุขวัตถุและคุณค่าเทียมในชีวิต พักหลังมาอยู่นิ่งสงบการเคลื่อนไหวที่วุ่นวายในความสัมพันธ์ทับซ้อน วันที่เชียงใหม่เรียกหาในวันที่สายไปอีกครั้งทั้งชีวิตเส้นขนานบรรยากาศ การดำรงชีวิตการงานที่มาไกลเกินกลับไปจมอยู่กับสิ่งที่เป็นอดีต  บางช่วงเวลาของชีวิตที่คิดว่าจะลงหลัก ที่คิดว่าแน่นอนกลับย้อนคิดว่าทุกอย่างเป็นเพียงจังหวะการคิดที่ไม่ลึกซึ้งพอ ไม่มีการกระตุ้นจากสถานการณ์รอบข้าง อนาคตไม่เห็น คนข้างกายไม่มี เหลือเพียงความสิ้นหวังท้อถอย จนชินชากับความจริง อยากจะเหลือใครซักคนให้คิดถึง ให้มีอยู่ถึงการต่อลมหายใจในโลกความจริง


ก็ แค่อยากเป็นคนที่อยู่ในเพลงเพลงนั้นตามที่หมายความถึง แค่นั้น...

วันจันทร์ที่ 12 ธันวาคม พ.ศ. 2554

เพราะอากาศหนาว

             เพราะอากาศหนาว ฉันจึงเหงา
             เพราะอากาศหนาว ฉันจึงเหม่อ
             เพราะอากาศหนาว ฉันจึงคิดถึง
             เพราะอากาศหนาว ฉันจึง รอคอย

             ผ่านมาจะ 30 หนาวได้พบได้เจอผู้คนมากมายที่ใช้ช่วงเวลาเหน็บหนาวแบบนี้นำพาความสัมพันธ์หลากหลายไปยังสถานที่ต่างๆทั้งบนดอยอันหนาวเหน็บ หรือ ทะเลแสนสบาย วันหยุดยาวแบบนี้หลายคนคงดื่มด่ำกับบรรยากาศแห่งความสุข ขอบคุณทุกคนที่ยังคงอยู่ในความทรงจำหน้าหนาวแม้เราจะไม่ได้ไปในที่แห่งนั้นด้วยกันอีกแต่ภาพฝันอันสวยงามจะยังติดตรึงเราไปในทุกครั้งทุกทีที่นึกถึง ทุกที่ที่ฉันเคยย่ำเดินกับเธอ เธอ เธอและเธอ ปล.จากนี้คงมีแต่ความทรงจำใหม่ๆ ปิดผนึกใจ (12.12.2011)

วันอาทิตย์ที่ 11 ธันวาคม พ.ศ. 2554

รอยจูบ แสงจันทร์ และวันดีดี

จันทรามืดเงาลับดับแสงจ้า  ดั่งมนตราสะกดจิตคิดหันเห
รอคอยเจ้าต่อไปใจรวนเร  คืนนี้เพลาดีที่เงาจันทร์


จันทร์คล้อยเคลื่อนออกคราสวาสนา  จึงได้มาประสบพบเจอเจ้า
คืนนี้เป็นราตรีแห่งสองเรา  จุมพิตเจ้าหลับใหลในเหมันต์


เรายังคงเหมือนเพื่อนเตือนสติ  แต่ใจริอาจหาญตามประสา
ความรู้สึกซ่อนเร้นเป็นมายา  สองกายาต่างรู้ถึงคู่กัน


วันพรุ่งนี้แม้นพบเจอละเมอฝัน ไม่รู้วันเวลาพาไฉน
จะพบโศกดังเก่าเคล้าทรวงใน  แต่ดวงใจวันนี้มีแต่เธอ 




วันพฤหัสบดีที่ 8 ธันวาคม พ.ศ. 2554

คุณค่าของความคิดถึง

           ได้อ่านบล็อคของผู้หญิงตัวเล็กๆคนนึงที่มีจิตใจและความคิดอ่านที่ใสดีงาม ความเข้าใจโลกระบบทุนนิยมการแข่งขันอยู่ในขั้นที่เรียกว่าดีจนเกินวัย20ต้นๆ สะท้อนให้เห็นถึงความรับผิดชอบต่อการงานส่งผลต่อการจัดการบริหารเวลาในการเรียนควบคู่กันไป เธอมีลักษณะเฉพาะทั่วไปเฉกเช่นหญิงสาววัยรุ่นแต่มิติทับซ้อนด้านอารมณ์การแสดงออกที่ชัดเจนขัดแย้งกับใบหน้าหวาน คม วงการนี้เพิ่งเริ่มต้นสำหรับเธอ แต่เชื่อแน่ว่าจากจุดเริ่มถึงท่ามกลางและบั้นปลายของเธอจะต้องงดงามแน่ การมองโลก สิ่งยึดเหนื่ยวครอบครัว คือกุญแจสำคัญในการกล้าเผชิญต่อสภาวะปัญหาที่รอคอยทดสอบ
         
           ว่าด้วยความคิดถึง บางทีเราพูดพร่ำเพื่อ แท้จริงไม่ได้รู้สึกคิดถึงผู้อยู่ปลายทางสารนั้นจริงๆ  การทบทวนความคิดถึงในชีวิตต่อบุคคลที่ต้องการส่งถึงก็มีส่วนสำคัญ ใครบ้างโหยหาความคิดถึงจากเรา ใครบ้างที่เราคิดถึงด้วยความถี่ในชีวิตน้อยที่สุด ถ้าวัยรุ่นแน่นอนพ่อแม่คงเป็นลำดับสุดท้ายรองจากแฟนและเพื่อน คนที่อยู่ใกล้ที่แท้เราไม่เคยใส่ใจคิดถึง  แต่คนที่อยู่ไกลที่เค้าอาจทำร้ายจิตใจเราได้ในวันนึงกลับคิดถึงคนคนนั้นได้มากมาย การคิดถึงใครซักคนไม่เพียงมีจุดเริ่มจากการรู้จักพูดคุย ปฎิสัมพันธ์ที่เราจดจำกี่ครั้งกันแน่ที่จะก่อเกิดความคิดถึง บางคนแค่ครั้งเดียวก็เก็บกลับมาคิดถึง บางคนอาจใช้เวลาเนิ่นนาน หรืออาจทั้งหมดของความสัมพันธ์ แต่บางคนทำให้เค้าจดจำประทับใจให้ตายยังไงก็ไม่มีวันเข้าไปอยู่ในโสตประสาทความคิดถึงได้ วันใดที่เราสูญเสียสิ่งที่กอดรัดยื้อยุดฉุดไว้เมื่อใด คงกลับมาคิดถึงสิ่งดีที่มีใครบางคนมอบให้ สุดท้ายก็ไม่พ้นคนในครอบครัวเรา

           วันนึงที่การถูกเติมเต็มมาถึงเราก็คงต้องยุติความสัมพันธ์ลงไปเพราะกลัวว่าวันนึงจะพาเอาความคาดหวังนั้นไปต่อไม่ได้ ไม่แปลกที่ความคิดนี้จะมาจากคนที่ครอบครัวแตกแยกอย่างเราๆ กลัวชีวิตคู่ที่ไม่สมบูรณ์ กลัวว่าวันนึงจะต้องเสียใจซ้ำซากเป็นวังวน ไม่มีใครสมบูรณ์แบบก็จริงอยู่แต่ก็คาดหวังลึกๆว่า Generation จะเป็นรุ่นสุดท้ายที่ครอบครัวไม่ต้องบ้านแตกสาแหรกขาด วันนั้นคงมาถึงซักวัน ท่ามกลางกระแสสังคมที่เราต่างรู้ ว่ามันโหดร้ายเพียงใดกับคนอย่างฉันและเธอ

วันพุธที่ 7 ธันวาคม พ.ศ. 2554

จันทคราส หรือ จันทร์จะคลาด

จันทคราสเต็มดวงล่วงมาถึง ยังคำนึงถึงเจ้าพิศมัย
จะได้ยลเห็นเงาเจ้าดวงใจ หรือเมฆไซร้บดบังยังคร่ำครวญ

              จันทรุปราคาครั้งนี้เป็นจันทรุปราคาครั้งที่ 23 ใน 71 ครั้ง ของชุดซารอสที่ 135 ซึ่งดำเนินอยู่ระหว่าง ค.ศ. 1615 - 2877 ชุดซารอสนี้ประกอบด้วยจันทรุปราคาเงามัว 9 ครั้ง บางส่วน 10 ครั้ง เต็มดวง 23 ครั้ง บางส่วน 7 ครั้ง และเงามัว 22 ครั้ง ตามลำดับ ครั้งนี้จะเป็นครั้งที่นานนับ ชม. หากแต่ขึ้นอยู่กับสภาพฟ้าที่จะมีเมฆหมอกบังตาหรือไม่ต้องลุ้นดูกันอีกครั้ง เมื่อครั้งประถมวัย สุริยะคราสเต็มดวง ทำให้ไมยราพ นกหนู สัตว์น้อยใหญ่ผิดแปลกแหวกธรรมชาติกลางวันแสกๆ ยังเป็นความทรงจำที่ดีกับใครคนนึงที่ไม่เคยเลือนหายไปจากเงาใจและเงาจันทร์ 

ทิศทาง

              มีคนเคยบอกว่า Direction สำคัญกว่า speed แต่บางทีการไร้ทิศทางก็ทำให้ speed ช้าลง มีเงื่อนไขมากมายในชีวิตทำให้หลายคนไปไม่ถึงฝั่งฝัน เวลา ผู้คนที่เวียนว่าย  จุดหมายที่ต่างที่มาที่ไป ทำไมอะไร มันไม่เป็นอย่างใจคิด สิ่งต่างๆแปรเปลี่ยนเหมือนกระแสลมหันเหให้เราต้องเลือกเผชิญในสิ่งที่บางครั้งก็ฝืนความรู้สึก แต่ชีวิตก็คือชีวิตตราบใดที่ลมหายใจและหัวใจดวงเล็กๆยังไม่ยอมหยุดพักยังซื่อสัตย์ต่อการทำหน้าที่หล่อเลี้ยงร่างกาย สมองก็ต้องคิด แก้ปัญหากันต่อไป บางทีเราก็มาอยู่ในจุดที่คุณค่าในตัวตนไม่สอดคล้องกับสิ่งที่เป็น บ้างเหงา บ้างต้องการหาคนเคียงคู่แต่เมื่อ โอกาส เวลา สายน้ำและคำพูดมันไม่มีวันย้อนกลับมาอีก ก็คงต้องสดุดีต่อความจริงแห่งกาลเวลาและจักรวาลที่เวิ้งว้าง เราต่างเกิดมาเพื่อใคร วันที่ราตรี ครอบงำ จันทราใกล้จะครบรอบจักร ผืนน้ำขึ้นลงหงายคว่ำ วันที่ฉันจะบอกทุกอย่างที่อยู่ภายใน ให้ใครบางคนได้รับรู้ ถึงชีวิตที่หักเหไร้รอยต่อที่ใฝ่ฝันซะที

วันจันทร์ที่ 5 ธันวาคม พ.ศ. 2554

พ่อ

เมื่อก่อนครั้งฉันเป็นเด็กน้อยคอยแต่คลาน
พ่อหัดตั้งไข่ ให้จนฉันเดินเป็น
เตาะแตะก้าวทีละน้อยค่อยๆเข็น
จับเกาะพ่อเดินเล่นตามประสาเยาว์วัย
พ่อถอดรองเท้าไว้ให้เห็นตรงนอกชาน
ฉันเจ้าเด็กน้อยลองใส่สวมเดินภูมิใจ
อยากจะใส่ไว้ให้เหมือนแม้จะหนักยังเดินไหว
พ่อยิ่งใหญ่เหมือนภูเขาเราจะตาม

เติบใหญ่วันนี้พบชีวิตที่ผกผันจึงได้รู้ว่าการเดินมันไม่ง่ายดังใจ
วันที่ถูกทุกข์ทับถม ขมขื่นใจสักเพียงไหน
รองเท้าพ่อคู่ใหญ่ ยังสอนใจเรา
วันที่ถูกทุกข์ทับถม ขมขื่นใจสักเพียงไหน
พ่อยิ่งใหญ่เหมือนภูเขาเราจะตาม


                ความทรงจำเลือนลางระหว่างช่วงเยาว์วัยเพราะหลากหลายปัญหาแต่สิ่งที่ดีๆหลายอย่างยังคงอยู่ในความทรงจำของเด็กน้อยที่พ่อสอนเตะลูกฟุตบอลตั้งแต่จำความได้ โต๊ะสนุ๊กตัวใหญ่หน้าบ้านเรา ที่พ่อสอนแทงคิวตั้งแต่หัวยังไม่ถึงผ้าสักหลาด กีตาร์ที่พ่อหัดจับคอร์ดจน ทุกอย่างเติบใหญ่ใกล้เคียงแต่เพราะบางอย่างที่ไม่ลงตัวเหตุผลของพ่อคงเป็นบทเรียนให้เราได้คิดพิจารณาถึงชีวิตคู่ที่พบพานผกผันพันผูกแล้วพลัดพราก การเดินบนรอยทางของอดีตไม่ได้เลวร้ายเสมอ ฉันเรียนรู้จากพ่อมากมายแต่สุดท้ายสิ่งที่ดีของพ่อก็ยังคงมากอยู่ในวันที่มิติครอบครัวห่างไกล แยกย้ายไปตามดาวที่โคจรไกลลับจากศูนย์กลางจักรวาลอย่างเรา  วันที่พานมาพบกับความหมายพ่อก็ยังคงทำหน้าที่วนเวียนซ้ำไปซ้ำมาแค่เปลี่ยนถ่ายไปสู่ผู้มาใหม่ ฉันได้แต่เติบใหญ่ไปในทิศทางที่ถูกเลือก ยังคิดถึงสิ่งดีๆที่พ่อมีเสมอ 

เจตน์นที = ผู้มีเจตนาดั่งมหานที และมันก็เป็นอย่างนั้นจริงๆครับพ่อ

วันอาทิตย์ที่ 4 ธันวาคม พ.ศ. 2554

ความเงียบงันคือคำตอบ

               ค่ำคืนที่หัวใจอารมณ์ความรู้สึกทุกอย่างเงียบงัน รอคอย ว่างเปล่า เธอทำให้คำถามทุกอย่างหมดลงท่ามกลางความมืดมิดของกาลเวลา ความคิดที่เผื่อใจ กว้างใหญ่ดั่งมหานที การสลดหดหู่ต่อการพยายามแทรกตัวเองเข้าไปในสถานการณ์ที่ก็รู้ว่าผลลัพธ์จะออกหน้าไหน ความหวังดีทุกอย่างพังทลาย พบแต่ร่องรอยของรัตติกาลที่เงียบสงัด เธอคงกลับไปอยู่ในวังวนที่คุ้นชิน เราเป็นแค่ทางสายเปลี่ยวที่เธอไม่กล้าแม้จะเหลียวมองและย่ำเดิน ฉันรู้ดีในเหตุการณ์ ใจที่ปลงตกเข้าใจถอยตัวขยายกว้างจนเกินที่คนคนนึงจะน้อมใจได้เท่าที่สุดที่เคยนอบน้อมในฐานะเพื่อนดี  ที่รับรู้เรื่องราวและรับฟังสิ่งต่างๆ ฉันไม่มีที่ที่ให้เสียใจและมีที่ไม่เพียงพอสำหรับการยืนเลยใช่มั้ย  ถ้าเป็นอย่างนั้นจริงสิ่งดีๆความดีของฉันไม่มีคุณค่า สูญเปล่า ฉันถือว่าได้เข้าใจคนคนนึงได้โดยปราศจากข้อแม้อคติ ฉันได้ทำสิ่งที่ดีในฐานนะเพื่อนที่หวังดี  ไม่มีความคาดหวังแต่มันมีเพียงความจริงหลังซากปรักหักพัง ความรู้สึกที่เก็บไว้ได้มันนานเกินไป จน มันบูดมันเสียไปซะแล้วพร้อมกับความเงียบงัน และความไม่จริง หากมีความจริงตั้งแต่แรกความรู้สึกก็จะไม่เสีย แบบที่เป็น ตรรกะอย่างง่ายที่ทำไมเราจึงต้องปลีกตัวออกมา เพราะเมื่อเวลาที่คนสองคนไม่เข้าใจ คนที่สามที่เข้าไปก็จะเจ็บในบั้นปลายเมื่อ 2คนที่มีความผูกพันกันมานานเข้าใจกัน เหมือนหมาหัวเน่าที่ไม่มีวันได้เปลี่ยนหัวเป็นสิ่งอื่น นอกจากหมาดีๆที่ไม่มีแม้ที่ให้ยืน ความรู้สึกฉันคงตายด้านอยู่ในเหตุการณ์ ความฝัน เธอรู้ดีว่าที่มามันเป็นอย่างไร ที่ไปมันจึงเป็นแบบที่เป็น ใครช่วยมาตบหน้าที่ชาชินสะบัดไปหาความสว่างซะที  เมื่อเป็นคนดีแล้วต้องถูกตอบสนอง แบบที่เป็น ฉันจะเลือกกลับไปแสนเลวให้ถึงที่สุดอีกครั้ง คงไม่ว่ากัน

วันเสาร์ที่ 3 ธันวาคม พ.ศ. 2554

ปรัชญาเพลงป๊อบ

ถ้าเปรียบการถือร่ม เท่ากับ ห่มความทุกข์สีเทาๆ
ชีวิตคนเราส่วนใหญ่ ก็จะถือติดตัวกันไว้ คนละหนึ่งคันอยู่แล้ว

หลายๆคน จะกางร่มโดยที่ไม่รู้ตัว และถือมันอยู่อย่างนั้น
กังวลว่าฝนจะตก กลัวจะเปียก แม้ขณะนอน ก็ยังคงกางอยู่
ทั้งที่จริงๆแล้ว ลองหุบร่มลง หรือโยนมันออกไป
แล้วลองมองขึ้นไปบนฟ้าอย่างชัดๆ กลับพบว่า บางทีฝนที่เราคิดว่ามันตกหนัก
กลับเป็นเพียงแค่ละอองฝนเท่านั้น หรือจริงๆแล้ว ฝนยังไม่ได้ตกเลย
จะทุกข์ หรือไม่ทุกข์ เราเลือกที่จะมองได้
จะหนักหรือไม่หนัก เราเลือกที่จะวางได้
จะสุข หรือไม่สุข เราก็เป็นคนเลือกเองได้เช่นกัน

วันพฤหัสบดีที่ 1 ธันวาคม พ.ศ. 2554

ฤดูกาลที่ผ่านมา ฝนโปรยปรายดับแสงดาว

คนชมฟ้ากลางคืนว่าสวย, ส่วนใหญ่ชมดวงดาว, และลืมความมืด.

ทะเลกับท้องฟ้าคล้ายอยู่ชิดกัน, แต่ยิ่งเข้าใกล้เส้นขอบฟ้า, ยิ่งพบว่าทั้งคู่อยู่ห่างกันไกล.

วันฝนตก, เธออธิษฐานให้ฝนหยุดตก, หรืออธิษฐานให้มีคนอยู่ข้างข้าง.

อย่าตื่นเต้นกับเช้าวันใหม่ที่สดใสเกินไปนัก, บ่อยครั้งที่ฝนตกตอนบ่าย.

ทะเลกว้างขึ้นมาก, เมื่อเดินทางไป, เพียงลำพัง.

สายฝนไม่เกี่ยวกับน้ำตา, น้ำตาไม่เกี่ยวกับสายฝน, มันเป็นแค่จินตนาการของคนเศร้า.

ยามเช้า, ฟ้าโอบกอดเราด้วยแสงแดด, ยามเย็น, ฟ้าห่มผ้าสีน้ำเงินเข้มให้เราก่อนนอน.

น้ำฝน, น้ำค้าง, น้ำตา, ไม่ช้าก็หายไป.

ทะเลที่ไม่มีชายหาด, เวิ้งว้าง, ชายหาดที่ไร้ทะเล, แห้งแล้ง.

และ อดีต, มักส่งเสียง, ยามค่ำคืน