วันศุกร์ที่ 31 ธันวาคม พ.ศ. 2553

ปีใหม่สิ่งใหม่ๆและสิ่งเก่าๆ

สิ่งใหม่ๆในวันปีใหม่สุดท้ายมันก็ยังเดิมๆ ไม่มีอะไรซับซ้อน ผู้คนมากมายร้อยพันกลับรู้สึกว่าไกลแสนไกลจากความอบอุ่น อะไรมันหายไปตั้งแต่ปีที่แล้วคงไม่กลับคืน

ห้องหับที่เหน็บหนาวในวันแรกของปีคงไม่มีพื้นที่ใดเหมาะสมกับเราเท่ากับมุมมองจากเบื้องสูงเห็นดอยสุเทพในแนวกว้าง ยิ่งสูงยิ่งหนาวยิ่งเหงายิ่งอ้างว้าง มันยังคงเหมือนเดิมทุกวันที่ผ่านกับสิ่งเก่าๆและสิ่งที่ฉันเป็น และยังเป็นอยู่อย่างนั้นจนจะพ้นผ่านพันธนาการภายในจิตใจ

วันพฤหัสบดีที่ 30 ธันวาคม พ.ศ. 2553

เช้าสุดท้ายของปี

เช้าสุดท้ายของปีกับหนังสือดีๆซักเล่ม กับแก้วกาแฟอุ่นๆ คงไม่มีความรู้สึกเดียวดายรูปแบบไหนที่แฝงความสุขภายในให้กับคนอย่างเราได้ดีเท่านี้ คิดถึงเธอนะถ้าเรายังอยู่ด้วยกัน เช้าที่เราคุ้นเคยคงมีกาแกขนมปังหมูหยองที่เธอปิ้งคงหอมอบอวลกว่าแคร็กเกอร์ตามท้องตลาดที่ฝืดคอ เราคงยังหยอกล้อกันบนที่นอนอุ่นๆกับอาหารเช้าที่เรากินด้วยกัน แต่เวลาดีๆกับคนดีๆมันไม่มีอีกแล้ว เหลือเพียงถ้วยกาแฟใบขุ่นๆกับคุกกี้กล่องกระดาษ ฉันแค่คิดถึงเธอทุกทีที่ฉันเจอความงดงามยามเช้า


วันนี้คงอยู่ในห้องสี่เหลี่อมปลีกตัวเองออกจากสังคมอย่างสิ้นเชิงเพื่อลดปัญหาที่ข้องเกี่ยวกับเวลา ไม่มีความหมายใดนอกจากวันที่เปลี่ยนไปยัง hour ที่ 25 แล้วมันก็บังเอิญเป็นศักราชใหม่ก็แค่นั้น ทุกอย่างยังคงเหมือนเดิมในความรู้สึก




Depapepe  => start ให้ความรู้สึกเหมือนมีพลังชีวิตขึ้นอีกครั้ง พรุ่งนี้ก็แค่วันปีใหม่เท่านั้น แต่ฉันก็ยังคงอยู่ในเส้นทางสายเก่าที่รกชันไปด้วย ขวากหนามทางสังคม อารมณ์และความรู้สึก

Target

ใกล้วันที่ต้องเริ่มเข้าใจอะไรๆชัดเจนขึ้น และคิดที่เริ่มสิ่งดีๆเพื่อตัวเองสักที Everything depend on myself จริงๆ เมื่อไม่มีแรงจูงใจรายล้อมก็ต้องสร้างขึ้นมาด้วยตนเอง เหลียวแลคนรอบข้างคงอยู่เพียงความเหินห่างทั้งระยะทางและความเป็นจริง ดีไม่น้อยที่ยังมีความปรารถนาดีเล็กน้อยจาก ญ ผู้เปลี่ยนสถานะได้รวดเร็วจนเราตั้งตัวไม่ทัน แต่ก็ไม่มีความข้องใจทั้งสิ้น มันยิ้มกว้างทุกครั้งที่คิดถึง เพราะไม่มีอะไรติดใจระหว่างเรา คงเหลือแต่สิ่งดีๆในวันพรุ่งนี้ที่ยังมีลมหายใจอุ่นๆ


เราไม่ได้อยู่บนฟ้าและก็ไม่ได้อยู่ในน้ำ ทำให้ไม่สามารถโบยบินเหมือนนกได้อย่างอิสระ และก็ไม่สามารถแหวกว่ายในท้องน้ำได้อย่างร่าเริงยังคงผูกติดกับสิ่งที่สังคมและคนที่รักเราคาดหวังมันยากที่จะหลุดลอยออกไป แต่มันก็เป็นสิ่งที่หัวใจเราพร่ำเพ้อบอกอยู่ทุกวัน สักวันจะไปให้ถึงฝั่งฝันอันรื่นรมณ์เงียบสงัดในภวังค์ไม่ต้องรอคอย คาดหวัง เมื่อไรจะมีสิ่งนั้น ถ้าไม่เริ่มที่จะรอคอยแล้วจะได้ดอมดมกลิ่นของความสำเร็จเบื้องหน้าเมื่อไรกัน


เฝ้าถามตัวเองกับเรื่องเดิมๆ

วันพุธที่ 29 ธันวาคม พ.ศ. 2553

I wanna be a billionaire so fucking bad

ค่ำคืนสุดท้ายในองค์กรเล็กๆเปรียบเปรยคือบริษัททางการศึกษา สนุกสนานในแบบฉบับสังคมแนวดิ่งที่ผู้บริหารบริษัทแห่งนี้มักชอบพร่ำบอกถ้อยคำแปลกใหม่ดูไม่คุ้นชินกับหูของคนส่วนใหญ่ในองค์กรเพื่อเป็นตัวตั้งให้คนฉุกคิด

อย่างน้อยบรรยากาศแห่งความสัมพันธ์มันก็เข้ารูปเข้ารอยตามวิถีทางของมัน แต่มันจะเป็นไปอย่างนี้อีกนานเท่าใดไม่รู้เพราะเมื่อคนหลายคนแยกทางเดินชีวิต ครอบครัว การทำงาน มันก็จะจางหายไปเหมือนหมอกควันยามสาย

ค่ำคืนที่ได้ทบทวนเหตุการณ์และสถานะกับสันดานในวาจาเดิมๆกับคนที่น้อยนานมากนักที่จะเอนเอียงใจไปให้แบบไม่มีเงื่อนไขแต่ทุกสิ่งมันก็หยุดไว้ในฐานที่เราเข้าใจบ้างไม่ตั้งใจบ้าง แต่มันจะเป็นความคงทนและเกื้อกูลในความสัมพันธ์ จากนี้คงมีให้แต่สิ่งจำกัดเพราะมันเกินเส้นใยที่เราล้อมตัวเองไว้นานแล้ว

สุดท้ายก็ยังยืนยันคำเดิม ว่าจันทร์จะงดงามเมื่อเราแหงนมองในองศาที่คุ้นเคย เมื่อใดแปรเปลี่ยนมุมมองอาจเลือนลางและอับแสงลง ตามการผันแปรของความสัมพันธ์

วันอังคารที่ 28 ธันวาคม พ.ศ. 2553

อยู่ร่ำไป

อยากให้รู้ว่าจันทร์ยังส่ิองแสง ยังฉายลงมาที่เธอไม่เคยห่างหาย ...

แสงนีออนจากโคมไฟบางๆ กับความทรงจำเลือนลางไม่บ่อยนักที่ต้องพบเจอกับสิ่งฉุดดึงอดีต ความทรงจำ อยู่ในช่วงเวลาจะนานจะช้ายังยืนที่เก่า  1  ปีกับความซับซ้อนในช่วงความรักที่ไม่ชัดเจนจนมันหลุดลอยไปครั้งแล้วครั้งเล่า ยังจำได้ถึงวันที่เราผ่านสิ่งต่างๆในวันเวลาสุดท้ายของปี ปีแล้วปีเล่าคนแล้วคนเล่า ความรู้สึกเบื่อมันผุดขึ้นมาหลังจากความสัมพันธ์รุดหน้า ไม่แปลกใจที่ยังไม่มีใครทนทานกับความฉาบฉวยและมักง่ายในความสัมพันธ์



รู้ตัวดีว่าทำตัวไม่เหมือนใคร คิดอะไรก็พูดมันไปไม่แคร์ใครซะอย่าง ทำตามที่สมองสั่ง ทั้งๆที่ตรงข้ามกับหัวใจ รู้ว่าเธอไม่ได้รักไม่สนใจ ประชดตัวเองทำร้ายตัวเองอะไรที่ได้มา มีแต่เสียน้ำตา สับสนและก็หวั่นไหว
เจ็บไปทั้งใจและหาคนเข้าใจไม่ได้เลย

จุดอ่อนของฉัน อยู่ตรงนี้

Low profile high profit

อาจไม่เคยอยู่ในสายตาเหมือนเธอไม่รู้ว่ากำลังหายใจ หากลองคิดดูสิ่งที่อยู่ก่อนจะทิ้งไปจากวันนี้จะไม่เสียใจ

คำจั่วหัวจากเพลงดังฃองค่ายเบเกอรี่หลายปีก่อน คงบ่งบอกถึงสถานะตัวตนที่ดูด้อยค่าเมื่อเปรียบเทียบกับชนชั้นกลางถึงระดับบน ไม่แปลกนักที่เมื่อนำสถานะทางสังคมและวัตถุเป็นตัวตั้ง หลายคนมองผ่านด้วยสายตาว่างเปล่า ไม่แยแสต่อสิ่งที่อยู่ภายในกลับ เพ่งมองเพียงเปลือกที่ไร้ค่า คงเป็นเพราะหลายส่วนในหลายมุมของสังคมทุนนิยมทำให้ผู้คนคล้อยตามยึดถือสิ่งที่มีคุณค่าคือตัวเงิน และนับถือผู้มีความรู้ระดับดีและสูงค่า 

ได้ยินเรื่องราวความฝันใฝ่ของน้องสาวสองคนในวันนี้อดนึกถึงสิ่งที่เคยผ่านมากับแนวคิดปริญญานิยมที่ก้าวเดินฝันใฝ่ไปกับกระแสสังคมการศึกษามากมายหลายตัวแปรที่ต้องพ้นผ่าน วันนี้ระบบกระบวนการคิดมันล่วงเลยความเร่งรีบในการก้าวเดิน กาลเวลาไม่อาจหมุนให้เร็วเท่าใจปรารถนา ยังต้องเจอะเจอสิ่งต่างๆอีกมากน้องเอ๋ยขอให้ก้าวเดินกันต่อไปจะเป็นกำลังใจให้ สิ่งที่หายไปมันไม่ใช่แค่ดอกไม้ แต่มันหมายความถึงบางสิ่งที่สำคัญ...


หากวันที่นานชั่วกัปชั่วกัลป์ (1 กัลป์ = ยอดเขาสูง 1 โยชน์ = 1.6 km ทุกร้อยปีจะมีนางฟ้านำผ้าบางๆมาปัด 1 ครั้ง จนกว่าเขาสูงจะต่ำเสมอดิน)
สิ้นสุดลงภายในใจเมื่อใดแล้วเมื่อนั้นคงพบเจอสัจธรรมที่เที่ยงแท้ถึงการหลุดพ้นในโลกเบี้ยวที่มนุษย์สรรค์สร้างแต่ความเชื่อที่เสพติดแพร่กระจายความคิดในคนหมู่มาก
คงจะเจอคนที่ใจเดียวกัน ยอมรับในจักรวาลของความคิดอย่างเราซักวัน 

จะรอและเก็บงำทุกอย่างสำหรับเธอนะ

วันจันทร์ที่ 27 ธันวาคม พ.ศ. 2553

สายตาว่างเปล่า หัวใจว่างเปล่า

โลกมันว่างเปล่าไม่มีเธอเหมือนเก่าไม่มีเธออีกต่อไป หัวใจว่างเปล่าต้องรอจนเข้าใจเธอคงไม่กลับมา


ฉันยังไม่รู้ว่าเมื่อไรจะหยุดเสียงเพรียกและสัมผัสแห่งความเดียวดายนี้อย่างถาวร หรือวันที่คนคอยจะยังไม่มาถึง ต้องพลัดพรากจากเจ็บ เหม่อมองถึงสิ่งที่ผ่านมาซ้ำแล้วซ้ำเล่า แสงสว่างในหัวใจเมื่อไรจะมีโอกาสเปล่งแสงเรืองรองมันริบหรี่จนมืดสนิทในหมู่แสงไฟในเมือง แตกต่างกับสิ่งที่เฝ้ามอง มันสูงชันในความรู้สึกและยากจะทำใจให้ไม่ว้าวุ่นในวันที่ใกล้และเฉียดกับสิ่งที่คนส่วนใหญ่เค้ามีคนข้างกาย ถอนหายใจกับความเหงาอีกหลายครั้งก็ยังต้องเดินต่อไป หลับตาเถอะนะขอให้เธอหลับฝันดี.....

วันอาทิตย์ที่ 26 ธันวาคม พ.ศ. 2553

รอยทาง

 ร่องรอยแห่งการเดินทาง การสำรวจและท่องเที่ยวในชีวิตที่ผ่านมามากมายเรื่องราวและมันกำลังจะผ่านไปอีกปีที่มีเรื่องราวความทรงจำหลากหลาย แต่ไม่อาจปฎิเสธได้ถึงความบอบช้ำและความสุขที่พรั่งพรูในคราวเดียวกันอย่างประหลาด ไม่ว่าจะดีจะร้ายเราก็เป็นแค่อีกหนึ่งชีวิตที่ต้องพบกับการเดินทางของห้วงอารมณ์ไปจนกว่าความรู้สึกและสังขารจะดับลงตามกาลเวลา

มีคำเปรียบเปรยจากหนังสือเล่มหนึ่ง"จะไปใหไกลถึงไหนกัน" กล่าวว่า

ก่อนการท่องเที่ยวนั้นมีการเดินทาง
ก่อนหน้าการเดินทางมีการสำรวจ

ถ้านักสำรวจคือผู้พยายามค้นหาสิ่งที่ยังค้นพบไม่เจอ
นักเดินทางก็คือผู้เดินตามรอยประวัติศาสตร์แห่งการค้นหา
และนักท่องเที่ยวก็คือผู้ค้นพบในสิ่งที่มีผู้เตรียมการไว้ให้

เพราะแท้ที่สุดแล้วสุดเส้นทางการแสวงหาก็คงไม่พ้นจิตใจในตัวตนของมนุษย์นั่นเอง
เพราะชีวิตคือการเดินทางและเปลี่ยนแปลงเช่นเดียวกับเรื่องราวของความรัก

เรือน้อย

เราคงเป็นดั่งเรือน้อยลำหนึ่งในทะเลแห่งชีวิตกว้างใหญ่ ฟ้าคลื่นลมพัดมาอย่าหวั่นไหว ในใจมีแต่จุดหมายคือฝั่ง มันจะไกลสักเพียงไหนต้องไปแม้ว่าในหัวใจ ไม่มีใครเลย

เมื่อตั้งใจทำอะไรจริงจังมันก็ไม่ยากอย่างที่คิดทุกอย่างกำลังเป็นไปตามที่คาดไว้ อย่างแม่นยำเพราะเลิกสนใจสิ่งเร้าภายนอกหันกลับมาอยู่กับความสำเร็จเล็กๆในตัวเองแต่มันจะยิ่งใหญ่งอกงามตามกาลเวลา คงส่งท้ายปีด้วยการอ่านหนังสือเตรียมสอบ สิ่งที่ล่วงเลยมาเกือบ 3 ปีให้บรรลุเพื่อปูทางสู่สิ่งยิ่งใหญ่ภายใต้เบื้องล่างที่ผุพังของจิต

ขอพลังจงอยู่กับเราและท่านทั้งหลายไปจนวันอนุมัติ Thesis อีกไม่ถึงคืบความสำเร็จขั้นกลางจะคลืบคลานเข้ามาแล้ว หัวใจดีอยู่แต่รู้ว่าไม่พร้อม ขอยอมอยู่อย่างเดียวดายแต่ไม่ใจร้ายต่ออนาคต ใครซักคนคงรออยู่ในดินแดนที่เรียกว่า Lover land

วันเสาร์ที่ 25 ธันวาคม พ.ศ. 2553

่ีWhen i see your face...

              Last X ' mas I gave in my heart ... ค่ำคืนแห่งการเฉลิมฉลองของผู้คนมากมายค่อนโลกแต่คงไม่มีแม้เสียงชักชวนหรือจิตใจที่กระสันจะออกไปพบปะใครต่อใครที่ต่างๆก็มีมุมมีช่วงเวลาแห่งเพื่อนเก่า ครอบครัว คนที่ไม่ได้พบเจอในรอบหลายปี หรือช่วงเวลาที่ยาวนานคงใช้โอกาสนี้ย้อนกลับไป แต่เมื่อกลับมามองกระจกเงาเข้าดูตัวเองไม่เหมือนอยากจดจำช่วงเวลาที่หลากหลายคงปล่อยให้เป็นเรื่องคงความทรงจำตกร่อง ผู้คนมากมายที่ผ่านเข้ามาพบปะในช่วงปีที่ผ่านมา หลากหลายความทรงจำทั้งดีและร้าย ค้างคาในรอยจำเพราะเธอทำไว้ให้ดีต่อความรู้สึกยาวนาน ญ สาวและไม่สาวที่ผ่านเข้ามาในปีแห่งความเศร้า สลับสับเปลี่ยนชดเชยความว้าเหว่ทั้งพูดคุย คำพูด ปลอบโยน ทั้งกายใจ แต่กลับไม่มีหลักประกันความชัดเจนในความสัมพันธ์ คงเพราะต้องแลกมากับการสูญเสียความอิสระ(Degree of freedom) จึงไม่อยากเข้าสู่วังวน

             แต่กลับมี1ความสัมพันธ์ระยะสั้นแต่ยาวนานในความรู้สึกที่ไม่ค่อยพบเจอ เข้ามาในเวลาที่ขุ่นมัวในอารมณ์ ระเบิดเวลากลับทำงานให้เธอต้องหลีกหนี คงไม่มีอะไรดีไปกว่าสูดลมหายใจลึกๆตั้งสติและเดินหน้าต่อไปเพื่อลบเลือนสิ่งต่างๆและแปรสภาพความสัมพันธ์ให้ยั่งยืนในรูปแบบอื่น

             Lonely  X'mas เหงาแต่เข้าใจมากขึ้นกับชีวิตที่ต้องเดินเดียวดายผ่านศักราชเก่าสู่สิ่งใหม่ที่ท้าทายรออยู่ทั้งชีวิต ความฝัน ความรัก...

วันศุกร์ที่ 24 ธันวาคม พ.ศ. 2553

แรงบันดาลใจสุดท้าย last inspiration

วันที่ 24.7 hour ของเราเต็มไปด้วยความคาดหวังกับสิ่งที่อยู่เบื้องหน้ากับภาระหน้าที่ที่ก่อตัวยาวนานผสานสู่อนาคตแต่ก็ไร้แรงบันดาลใจที่จะสะสางมันคงเพราะรอบข้างที่ไร้แรงกระตุ้น ไร้ความฝันใฝ่ที่จะมอบให้ใครซักคน แต่ยังเหลือสิ่งสุดท้ายที่อยู่กับตัวตนมานานแสนนานคือ แรงแฝงที่ทุกคนมีแต่ไม่เคยนำมาใช้ต้องให้เกิดแรงกดดันมากพอมันจึงจะเผยตัวตนออกมาให้เราได้ใช้งานและนี่คงเป็นอีกครั้งที่จะต้องขอแรงที่แอบซ่อนนี้กลับมาสานต่อสิ่งที่ขาดหายในมิติของวิชาการ

สิ่งรอบตัวอยู่ห่างไกลด้วยระยะทาง วันที่แม่อยู่แดนไกลในฮอยอัน ขอให้ปลอดภัยกับการเดินทาง พี่สาวคงติดลบกับอากาศและความรู้สึกแต่มันจะผ่านไปนะแก แต่สิ่งที่ไม่เคยทรยศสำหรับเราคือไม่ว่าเทศกาลนานเนิ่นเลยผ่านเกือบปีแล้วสินะที่เหตุการณ์ต่างๆมันผ่านพ้น ไม่รู้ว่าสิ่งที่ไม่เคยบอกกับสิ่งที่ตอกย้ำมันกลับมารวมกันเมื่อไร ทุกครั้งที่ใจรู้สึกว่าเหงา หนาวก็ไม่เคยเข็ดขยาดกับความรัก ความใคร่ คงเพราะเราเป็นเพียงมนุษย์ตัวตนเล็กตัวหนึ่งซึ่งห่างไกลกับการหลุดพ้น 

แต่การเข้าใกล้พระอรหันต์ยังมีหนทางอีกเส้นหนึ่งที่เสี่ยงจากคำนิรนามที่ว่า "พระอรหันต์กับคนบ้าห่างกันแค่ฟางเส้นเล็กๆเพียงเส้นเดียว" 

วันพฤหัสบดีที่ 23 ธันวาคม พ.ศ. 2553

รักออกแบบไม่ได้ แต่รักแอบบอกได้นะคะ

เมื่อทัศนคติต่อการดำเนินชีวิตบนเส้นทางเปลี่ยวเปลี่ยนไปบ้างแต่แท้จริงความสุขกับอยู่เคียงข้างกับตัวเองในคืนที่ทุกคนหลับใหลยาวนานแต่กลับต้องทำในส่วนประกอบปะติดปะต่ออนาคตอย่ากลัวที่จะฟ่าฟัน ความอดทนหลังม่านจะออกดอกผลสวยงามเสมอ

ขอบคุณทุกอย่างที่ผ่านมาถึงค่ำคืนแห่งความเข้มแข็งที่ไม่เคยนึกฝัน จะอยู่ให้ผู้คนอิจฉาดีกว่าอยู่เพื่ออิจฉาคนอื่นในการใช้ชีวิต ชีวิตในสังคมนิยมไม่ได้ตอบสนองความเป็นเราได้เนิ่ินนานแล้วที่ไม่เคยบอกว่าสิ่งที่สุขที่สุดคือการยอมรับทางสังคม ชื่อเสียง เงินทอง และมันก็ชัดเจนมากขึ้นทุกวัน เบื้องหลังชีวิตที่ยากไร้ใครจะรู้ว่า มีคนรอบข้างที่มอบความรักและหลักประกันในอนาคตให้มากมาย ขอบคุณแม่และพี่สาวที่รักและวางแผนสิ่งที่เป็นความมั่นคงในอนาคต แต่กว่าจะเข้าใจถึงสิ่งที่ยาวนานและมั่นคงมั่งคั่ง คงต้องผ่านช่วงเวลาแห่งความเดียวดายล้มลุกคลุกคลานไปอีกซักพัก แล้วจะกลับไปสู่หนทางที่ แม่ปรารถนานะ

ยิ่งสูงยิ่งหนาวยิ่งร้าวยิ่งลึก แล้วมันจะตกผลึกเข้าสักวัน อาจจะเกิดการเปลี่ยนแปลงในทางที่ดีหรือแย่ลงก็จะไม่เสียใจเพราะนี่คือสิ่งที่เราได้ตัดสินใจกับชีวิตที่จริงและเที่ยงตรงกับความรู้สึกที่สุด รักแม่และคิดถึงแกนะพี่สาว

วันพุธที่ 22 ธันวาคม พ.ศ. 2553

ใจบางๆ

เป็นเพราะเราเป็นเพราะเรามากกว่า คิดไปเองทำให้ใจเราเจ็บ สุขเพียงสุขเล็กน้อยยามพบคนถูกใจ เจ็บก็เจ็บก็เจ็บเกินใครเป็นเพราะใจมันบางเหลือเกินเป็นเพราะใจเราอ่อนอยากทำหัใจขึ้นใหม่อยากตกแต่งดวงใจเล็กๆให้แข็งแรงพอจะทนไหว พอแล้วพอ พอฉันพอดีกว่าคิดไปเองทำให้ใจเราเจ็บ...

วันที่ต้องสะสางให้เสร็จก่อนรุ่งสางในอีกสองวันจะเวียนมาถึงกับห้องสี่เหลี่ยมโคมใฟชุดเดิมที่เพิ่มเติมคือความเหงาเท่านั้นเอง คงไม่มีข้อความใดอีกว่างเปล่า พบเพียงแต่ร่องรอยภาพสลัวของเหตุการณ์ซ้ำที่เก่า กลิ่นกาย สายตาจางหายไป ทิ้งไว้แต่รอยทางแห่งความหลังที่ยังอบอวลในห้องที่เราต่างเคยเหยียบย่ำในคืนนั้น

ฉันไม่รู้ไม่รู้ต้องทนอีกนานเท่าไร

เข้าใจคำสั้นๆแต่ทำได้ยาก

เพราะเธอคือแก้วตาของฉันรักเธอจนหมดหัวใจ เพราะเธอยังต้องไปอีกตั้งไกลอย่าห่วงคนอย่างฉันเลย อย่าเลยอย่าอยู่กับรักที่เป็นเพียงนิยายสุดท้ายก็จากกัน อยากให้เรายังรักกันทั้งรักทั้งผูกพันกันด้วยหัวใจ จะไม่ยอมให้เธอลำบาก ไม่ยอมให้เธอลำบากไม่ยอมให้เธอต้องทนเพราะฉัน รู้ว่ายังรักกัน ฉันก็ยังรักเธอแต่ถึงอย่างไรรักฉันก็มีแต่หัวใจมีเพียงเท่านั้นเอง

จะเข้าใจสิ่งที่ผ่านมาทุกอย่างระหว่างเรานะ

วันอังคารที่ 21 ธันวาคม พ.ศ. 2553

rest & speed

มีสัญญาณจากเบื้องบนว่าต้องส่งงานวันเสาร์นี้เพื่อยื่นสอบต้นเดือนมกรา 54 อะไรมันจะประจวบเหมะกับเวลาคับขันแบบนี้คงได้เป็นหมีแพนด้าในสองสามวันนี้อย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ เหลือคนสอบ 2 คนก็ยังดีที่ได้สอบเอาวะต้องเร่งทุกอย่างและพักรบ ไว้พบรักกันอาทิตย์หน้าละกันนะคะ มันควบแน่นงวดจนข้นเหลือแต่กากใยไร้ของเหลว จะมามัวทำสิ่งที่อยู่รายทางเพื่อสนองตัณหาไม่ได้แล้วนะ ขอพลัง direction & speed จงอยู่กับเราในช่วงเวลานี้ด้วย จะไม่แยแสต่อสิ่งหอมหวลที่ไม่แน่นอนจนกว่าจะเสร็จในสิ่งที่หมายปองคืออนาคตที่ผุพังแต่จะงดงามเมื่อเราตั้งใจทำมันอย่างจริงจัง


ถามไถ่ถึงฝันไม่เคยมี หวังความร่ำรวยไม่มีในสมอง แค่มีความสุขกับสิ่งที่เป็นอยู่ทุกๆวันและก้าวต่อไปจนมาได้ยินเพลง Billionaire แล้วรู้สึกว่าอยากรวยแล้วเป็นอย่างเพลงนี้จัง ถ้าฉันรวยฉันจะจ่ายภาษีไม่เหมือนคนรวยส่วนใหญ่แม่งยอมจ่ายภาษีกันอ่ะพวกเฮีย
So everybody that I love can have a couple bucks   
And not a single tummy around me would know what hungry was    
Eating good sleeping soundly     
I know we all have a similar dream     
Go in your pocket pull out your wallet     
And put it in the air and sing     

วันจันทร์ที่ 20 ธันวาคม พ.ศ. 2553

Top secret

     วันนี้คงเป็นวันที่ต้องเคลียร์ทุกอย่างชะล้างเรื่องราวที่ก่อเขม่าควันในใจมาหลายสัปดาห์ คงไม่ใช่เรื่องง่ายที่จะทำใจให้ยอมรับ แต่มันมีสัญชาตญาณบ่งบอกว่า Badday มากกว่าเป็นวันที่ดีๆ เหมือนทุกอย่างมันผ่านมาถึงจุดที่ดิ่งลงในวามสัมพันธ์ แต่สิ่งเหล่านั้นยังไม่เกิด อาจเป็นการเคลียร์กันในแง่ความเข้าใจหรือข้อตกลงเบื้องต้นในทุกเรื่องที่จะมีกันต่อหรือไม่มี ก็สุดแท้แต่โชคชะตาฟ้าลิขิต เราคงทำได้ดีที่สุดระหว่างความสัมพันธ์ของเราเท่านี้ ไม่ต้องห่วงโลกมืดในที่นี้เพราะคงไม่มีใครเข้ามาสนใจใส่ใจถ้อยคำที่พร่ำเพ้อไปวันๆ รับรองว่าระหว่างเราจะเป็นที่สุดของความลับแม้ความสัมพันธ์จางหายสัญญาว่าจะไม่ต่อความยาวสาวความรู้สึกออกมาแพร่งพราย คงมีเพียงแต่ในกระจกเงาแห่งกาลเวลาที่น้อยคนที่จะใช้กล้ามเนื้อลายและสมอง กดคลิกเข้ามา ขอให้สบายใจโลกความจริงที่คู่ขนานไปกับสิ่งนี้จะคงอยู่และไม่ทรยศต่อการดำรงชีวิตของเธออย่างแน่นอน แต่ก็ขอบคุณที่ยังเข้ามาสะท้อนสิ่งที่พบเห็นและอ่านมัน มันไม่มีอะไรมากไปกว่า จิตใต้สำนึกที่จริงและเที่ยงตรงต่อความรู้สึกของคนคนนึง

   Unconscious mind in my mind ยังคง Freeze ความรู้สึกนี้ต่อไปจกว่าจะถึงวันที่เคลียร์ทุกอย่างระหว่างเรา

วันอาทิตย์ที่ 19 ธันวาคม พ.ศ. 2553

share

      ไม่เคยรู้เลยว่าเพราะเหตุใด ทำไมจึงรู้สึกกับคนคนนึงได้มากมายในฃ่วงเวลาที่จำกัดและแสนสั้น เหมือนเป็นความฉาบฉวยทางความรู้สึกแต่ผลกระทบมันสะท้อนให้รับรู้ว่ามันยิ่งใหญ่ ทำไมต้องเฝ้าทุกข์ใจกับเหตุการณืที่ล่วงเลย หลายวันแต่มันยิ่งตอกย้ำความผิดสะสม ส่วนแบ่งทางความคิดทั้งหมดถูก Share ให้กับเรื่องนี้มากไปรึป่าว ถามตัวเองตอบได้เลยว่าแค่ส่วนเสี้ยวเดียวของชีวิตที่ดำรงอยู่ แต่มันกับทำให้ชีวิตส่วนใหญ่เคลื่อนตัวได้ยาก แต่ค้างคาอยู่กับภาพ ประโยค ถ้อยคำ น้ำเสียง ไม่มีใครจะให้ข้อสรุปได้นอกจากการเปิดฉากคุยกันอย่างเปิดอกอีกครั้ง ขอโทษที่ต้องทำให้ลำบากใจซ้ำสอง แต่ความพยายามครั้งสุดท้ายครั้งนี้มีเดิมพันสูง เธอคงไม่รู้ถึงเบื้องลึกในจิตใจที่พยายามบอกไปเมื่อปลายค่ำคืนที่ผ่านมา หวังว่าเธอจะเข้าใจเสี้ยวนึงของเจตนาในการที่จะรักษาสัมพันธภาพที่พิเศษเอาไว้ ขอร้องอย่าเพิ่งถอยหนีไป อย่าเพิ่งตัดสินว่าตัวตนที่เห็นผ่านค่ำคืนที่โหดร้ายเป็นจริง เพราะผู้ชายคนนี้สำนึกถึงเหตุที่มาที่ไปรวมถึงสิ่งเร้าที่ก่อให้เกิดผลตามมา ด้วยเหตุนี้จะหันหลังให้กับสิ่งที่คนไทยกว่า 2 ล้าน คนกินดื่มเป็นประจำ ไม่ใช่เพราะติ๋วที่เข้ามาเปลี่ยน แต่อยากเริ่มทำอะไรที่เป็นสิ่งดีๆที่มีผลต่ออนาคตอันใกล้และไกล ขอให้รู้ว่าอย่างน้อยถึงผลตอบกลับอาจจะต้องใช้เวลาเนิ่นนานนับเดือนนับปี ถึงแม้ในความจริงอันใกล้เราอาจไม่ได้พบปะกัน แต่ขอให้รับรู้ว่าความรู้สึกผิดจะไม่เลือนหายจนกว่าน้ำแก้วใหม่จะมาชะล้างสิ่งเก่าๆนั่นหมายถึงการกลับมาอีกครั้งของเราจะได้มั้ย

 วันที่ทุกอย่างเริ่มจริง และตรงอย่างที่สุด ถ้ามีความรู้สึกนั้นเพียงเสี้ยวอย่าโกหกตัวเองและเก็บงำไว้คนเดียวเพราะคงมีใครอีกคนต้องเสียใจกับการไม่กลับมาทำสิ่งที่ใจปรารถนา 

ว่างเปล่า

ฉันมันไม่มีวาสนา ฝืนดวงชะตาก็คงไม่ได้ เห็นเธอนั้นไปดี ฉันเองก็ดีใจฉันไม่หวังอะไรมากไปกว่านี้

เกิดแล้วตายอีกกี่ครั้งยังไม่มีสิทธิ์ ที่คิดว่าเราต่างเป็นคู่กัน...

พรุ่งนี้ที่ว่างเปล่าทั้งจินตนาการในการจะดำเนินชีวิตต่อไป ขาดหายมิติที่คุ้นชิน ไม่มีแม้แต่ความคิดที่จะต่อเติมกำลังใจ หายไปมันหายไปจากวันก่อนเพิ่งรู้ว่ามันสำคัญ มีคนเคยบอกถ้าไม่สูญเสียบางอย่างก็คงไม่รู้คุณค่าสิ่งนั้น เหมือนดั่งตัวฉันที่ไม่รู้ว่าคืนวันที่ผ่านมาว่าใครคือคนสำคัญ...

ความข้องใจต่างๆเริ่มคลี่คลายว่าเหราะเหตุใดเธอจึงหลีกไกลจากวิถีทางหัวใจของชายด้อยค่า สติปัญญาหลุดลอย เสียดายคืนวันที่ล้ำค่าแต่กลับรักษาโอกาสนั้นไว้ไม่ได้  ไม่รู้ ไม่รู้... อยากทรยศต่อความทรงจำของตัวเอง แต่กลับลืมช่วงเวลาดีๆสั้นๆของเราไม่ได้แม้แต่วินาที แววตา รอยยิ้ม เสียงหัวเราะของเธอยังอยู่ในโสตประสาท ขอเถอะคนดีช่วยเลือนหายไปจากฉันที ว่างเปล่าในจิตใจแต่สมองกลับยากที่จะลืมเลือน ญ ผู้มีกลิ่นจัน

วันเสาร์ที่ 18 ธันวาคม พ.ศ. 2553

แล้วฉันก็จะไป

       รู้แล้วว่าสายไป รู้แล้วเธอรักใคร...ขอให้ฉันหายใจอยู่ด้วยกันไปอย่างนี้ซักนาที ไม่ต้องพูดอะไร ก็แค่อยากให้รู้ใจว่าคิดถึงมากมาย แค่นาทีเงียบงันที่เธอให้ฉันไม่ขอเธอมากกว่านี้ แล้วฉันก็จะไป...จะไม่โทรมารบกวนไม่โทรมาวุ่นวาย แค่รู้ว่าเธอสบายอยู่กับคนที่เธอรักเค้ารักเธอ ก็เข้าใจดีใจด้วยคน

กลับไปเชียงใหม่พร้อมกับสถานะที่เปลี่ยนแปลงและต้องสะสางสิ่งต่างๆในช่วงนับจากนี้ไปถึงศักราชใหม่ที่เดียวดายไร้คนข้างใจเหมือนวันก่อนหน้า ซึ่งมันก็ไม่มีมานานแล้วเพียงแต่คิดฝันไปเองทั้งนั้น เมื่อไรจะตัดขาดความฝันออกจากความจริงได้ซักที คงไม่มีผู้ใดเคียงข้างเข้าใจในคืนนี้หรือคืนไหนไปจนตลอดชีวิตก็เป็นได้ หรือชีวิตนี้จะต้องอยู่เพื่อที่จะเรียนรู้ต่อเติมสิ่งต่างๆที่ขาดหายด้วยตัวเอง

ไม่ต้องห่วงมันจะแข็งแรงกว่าเดิมเพราะที่ผ่านมาก็เป็นเรื่องพิสูจน์ได้เป็นอย่างดี ขอบคุณที่ยังให้อยู่ในโลกใบเดียวกัน ในสังคมที่อาจจะพบเจอกันอีกในสถานะที่ต่างออกไป ลาก่อน

หนักเกินไป

โลกหนักถ้าเราแบก แต่เมื่ออะไรมันดิ่งลงถึงที่สุดแล้วมันก็จะดีดตัวกลับขึ้นมาเสมอตามหลัก Physics ขอจมอยู่กับอารมณ์ที่ยากเกินอธิบายให้ถึงทีุ่ดแล้ววันพรุ่งนี้จะกลับมาสู่โลกแห่งความเป็นจริง

"ขอโทษจริงๆนะ ติ๋วเปิดใจเต็มที่แล้ว แต่มันไม่เป็นอย่างที่ติ๋วคิดไว้
ติ๋วก็รู้สึกแย่ ตอนนี้ก็ไม่รู้ทำไง เหวี่ยงไปหมด"

ดังก้องอยู่ในหัวนับล้านครั้งความถี่ทุก 1 นาทีเมื่อไรจะสลัดความรู้สึกและเสียงสะท้อนวลีสั้นๆนี้ออกไปได้ซักที คงต้องรอให้เซลล์สมองลำเลียงน้ำตาที่คั่งอยู่ในสมองส่วนความทรงจำไปทำลายในพื้นที่ที่ไร้ขอบเขต ขอเวลาที่จะอธิบายสิ่งต่างๆที่ไม่เคยพบเจอกับประสบการณ์รักแบบฉบับพิเศษ ขอเรียบเรียงเรื่องราวทุกตัวอักษรภายในใจซักพักนะคะ

ไม่รู้จะอธิบายยังไงเหมือนกัน...

วันศุกร์ที่ 17 ธันวาคม พ.ศ. 2553

อ้อมกอดสุดท้าย

ความรู้สึกสุดท้ายกับอ้อมกอดสุดท้าย อบอุ่นและเหน็บหนาวในคราวเดียวกันเมื่อได้รับรู้ว่าฉันไม่ใช่ ไม่เหลืออะไรเลยแหลกสลายลงไปกับตา เหลือเพียงทรายที่ว่างเปล่ากับน้ำทะเลเท่านั้น

กว่าจะรวมจิตใจเก็บทรายสวยๆมากอง ก่อประสาทซักหลัง...แล้วทะเลก็สาดเข้ามา...มันคงเป็นคำตอบที่ซักวันก็ต้องรับรู้เมื่อความปรารถนาของเธอขัดแย้งกับสิ่งที่เห็นและเป็นในเงาของชายคนนี้ ขอบคุณที่ยังมอบอ้อมกอดสุดท้ายที่อบอุ่น ว่างเปล่า และเหน็บหนาวในคราวเดียวกัน จะไม่มีวันลืมเหตุการณ์และความรู้สึกนี้ไปจนกว่าเซลล์สมองจะละทิ้งความทรงจำดีๆระหว่างเรา ขอบคุณอีกครั้ง ญ ผู้มีกลิ่นจัน

พอใกล้กันแล้วมันไม่ใช่

     คงคิดฝันไปไกลเกินทำให้ต้องรู้สึกแบบนี้ แปลกจริงที่เวลาจะลองเริ่มรักใครแต่ มันก็มักมีสิ่งที่ไม่คาดฝันเกิดขึ้นได้เสมอ รู้สึกดีซึ่งกันและกันแต่เมื่อเธอเอ่ยว่า เมื่อมาเรียนรู้ใกล้ชิดแล้วความรู้สึกมันไม่ใช่ ก็เข้าใจได้กับเหตุการณ์ที่เป็นไป แต่ก็อดช็อกไม่ได้เลยกับความหวังที่พังทลายโดยไม่ได้เตรียมใจกับมัน คาดหวังมากก็เจ็บปวดมาก ไม่มีใครผิดกับเรื่องราวที่มันมาถึงจุดนี้ ต่างคนต่างมีเหตุผลของตนเอง เธอก็เช่นกันคงไม่อยากต้องทนกับชายที่เต็มไปด้วยอดีตสิ้นหวังคิดวกวน ไม่มีแม้ความหวังในการหล่อเลี้ยงชีวิตที่ขาดหาย ไร้จินตภาพในการสร้างสรรค์เชิงสังคม ครอบครัว วันที่ต้องกลับมาอยู่กับตัวเองอย่างจริงจัง ขอบคุณที่ทำให้รู้สึกดีๆและในขณะเดียวกันก็ทำให้ได้รู้ว่า ความสัมพันธ์เราคงเป็นได้ที่ปรึกษาในSocial network แต่เมื่อมาพุดคุยใกล้ชิดกลับเกิดความรู้สึกปฎิปักษ์ต่อความรัก อะไรที่ไม่ใช่ก็อย่าฝืนนั้นถูกต้อง แต่เธอรู้บ้างไหมว่าได้ทำให้เศษใจของชายสิ้นหวังคนนี้ละเอียดเป็นผุยผง เบื้องหน้าของการแสดงคงต้องพบเจอและยิ้มให้ด้วยความอบอุ่นแต่ภายในนั้นมากมายที่จะเอ่ย มันไม่มีอะไรที่ต้องพูดไปอีกแล้ว เพราะใครที่เข้ามาก็จะรับรู้ความเป็นตัวตนแบบนี้ไม่ค่อยได้และถอยห่างออกไปตามกาลเวลา เมื่อไรที่จะเกิดความรู้สึกดีๆแบบที่มีกับจันทนีได้อีก หรือไม่มีแล้วหัวใจความรักสำหรับคนแปลกแยกที่เหมือนอยู่ลำพังในโลก

วันพุธที่ 15 ธันวาคม พ.ศ. 2553

หูมีเยอะ (หูอื้อ)

           เพลงนี้เป็นของเธอผู้เดียวนะ ความข้องเกี่ยวนิดเดียวที่ฉันมี หากแม้แต่ขอเพียงให้เธอนั้น หมั่นให้ความสำคัญ....
           หู คอ จมูก เกี่ยวเนื่องกันฉันใด เหตุใดจึงทำให้ไมได้ยินเสียงของตัวเอง คำพูดที่ผิดคีย์ ทำให้สื่อความหมายผิดพลาด วันนี้คงเป็นความตั้งใจที่เกิดขึ้นหวังว่าคงมีอะไรที่ต้องคุยกันอย่างเปิดเผยซักที ไม่อยากค้างคาแบบนี้ แต่ก็ยังหวั่นกับความสัมพันธ์ที่ไม่เคลียร์ ขอโทษที่หายไปจากสารบบของคนคนหนึ่งแต่เธอคงรู้ดีว่ามันเกิดอะไร อย่างน้อยเราก็ยังเป็นเพื่อนที่ดีต่อกันได้เหมือนเดิม เพราะแรกเริ่มเดิมทีก็เป็นอย่างนั้นไม่ใช่หรือ เมื่อมันไม่อาจตอบสนองสิ่งที่อยู่ข้างในได้ก็คงต้องเปลี่ยนสถานะเหมือนสสารที่เปลี่ยนแปลงตัวเองอยู่ตลอดเวลาแต่สุดท้ายมันก็ยังคงอยู่ในโลกแม้จะเป็นเพียงฝุ่นละอองหรืออากาศก็ตามที
           เคยมีบางเพลงที่เพราะบางเพลงที่มีความหมายในช่วงเวลาต่างๆของชีวิตไม่นึกว่าเพลงมากมายได้ถูกหลงลืมไป และกลับมาดังกึกก้องในโสตประสาทอีกครั้ง แต่มันจะก้องกังวาลนานเท่าใดไม่มีใครตอบได้เท่ากับคนสองคนที่กำลังจะเริ่มสานความสัมพันธ์ ตอบตัวเองไม่ได้เลย ว่ามันจะดีหรือร้าย ไร้บทวิเคราะห์ทางวิชาการ ไร้ตัวแปรที่มีน้ำหนัก เพราะมันวัดค่าทางความรู้สึกที่ไม่มีตัวตนไม่มีหลักการประเมิน ยากแท้หยั่งถึง จึงใคร่ไขว่ขว้า เพื่อให้ได้มา ทุกคราหลับฝัน ขอเพียงซักวัน เธอนั้นแนบใจ
           

          ปล่อยมันไปเพราะถึงอย่างไรรักนั้นก็สวยงาม Super Baker
          

วันอังคารที่ 14 ธันวาคม พ.ศ. 2553

Virus กัดกร่อนลุกลามถึงขั้วหัวใจ

      อาการมันฟ้องทางด้านร่างกายลุกลามรวดเร็วเข้าสู่โหมดของความเมื่อยล้า ไวรัสกัดกร่อนระบบทางเดินหายใจ ปฎิชีวนะหลายขนานช่วยกระตุ้นปฎิกิริยาทางเคมีในร่างกายแต่ก็ยังไม่เป็นผล คงเพราะความเหนื่อยล้าภายใน ขาดการผ่อนพักตระหนักรู้ เครื่องจักรที่มีเลือดสูบฉีดภายในกำลังอ่อนแรง ต้องการยาดีมาเยียวยารักษาโดยพลัน วันนี้คงเป็นอีกวันที่ต้องพักผ่อนจัดการสิ่งต่างๆเพื่อตระเตรียมรองรับการเปลี่ยนแปลงทางด้านร่างกาย หัวใจ
      เวลาดีๆอย่างนี้ ... เธอไปอยู่ไหน ฉันแค่คิดถึงเธอ เวลาที่เจอความงดงาม และอยากรู้เวลานี้เธอเป็นอย่างไร คิดถึงฉันบ้างไหมคนดี

      กายป่วยจิตป่วยแต่ก็ยังดีที่ได้รับรู้ว่าทุกๆวันมีคนที่ห่วงใยเรา้พิ่มขึ้นมาอีก 1 คนคงไม่มากไปถ้าจะบอกว่ามันเป็นเรื่องตั้งใจมากกว่าความบังเอิญ ทุกอย่างที่เราตัดสินใจมันเกิดจากความตั้งใจ จะไม่เสียใจที่ได้ตัดสินใจทำสิ่งที่จะเปลี่ยนแปลงชีวิตอีกครั้ง
      ถึงไ่ม่ได้ดู room 39 แต่เราคงไ้ด้พูดคุยกันท่ามกลางบรรยากาศดีๆที่ไหนซักแห่งบนโลกเชียงใหม่ ใบใหม่ของเราใบนี้ จะไม่เปลี่ยนแปลงตัวเองเพื่อใครสัญญาได้ไหมว่าเราจะเป็นเหมือนวันที่เราได้พูดคุยกันเพราะถ้าเราไม่พอใจในสิ่งที่แสดงตั้งแต่แรกคงป่วยการที่จะมาเรียกร้องเพื่อหวังให้ใครเปลี่ยนแปลงเพื่อรองรับอารมณ์ของอีกคน จะเริ่มเทใจใส่ให้ละเตรียมรับไว้ให้ดีละกัน

JTN & JNT

ต่อมยับยั้งชั่งใจกำลังบกพร่อง

จะเกิดอะไรต่อจากนี้ให้ความรู้สึกเป็นผู้ถือตะเกียงนำทางจะไม่คาดหวัง จะไม่โหยหา จะไม่กังวลต่อสิ่งที่มันยังมาไม่ถึง ในเมื่อต่อมยับยั้งชั่งใจเกิดอาการบกพร่องจะสุขเหลือล้นหรือต้องทนกลำกลืน คงได้รู้กันอีกไม่นาน มีเราเท่านั้นที่รับรู้ถึงสิ่งที่เราเป็นคนร่วมก่อร่างสร้างมันมาแต่แรกเริ่ม เมื่อถึงเวลาวิกฤตจริงๆคงต้องยอมเผยความในออกมาให้เห็นแท้แน่ชัด แล้วมันจะผ่านไปนะคะ
อาจจะคิดเยอะไปจนหงุดหงิดงุ่นง่านแต่ก็ไม่อยากทรยศต่อการตระเตรียมความพร้อมก่อนความสัมพันธ์ที่พิเศษครั้งนี้

วกกลับมาถึงภาระที่ต้องทำโดยเร็วมันก็ทำให้คิ้วกลับมาขมวดปมแน่นขึ้นอย่างแกะไม่ออก ไม่รู้ว่าจะสิ้นสุดเมื่อไรแต่ถ้าอดทนถึงที่สุดแล้วเชื่อว่ามันจะผ่านไปอยากกระโดดขึ้นไปอยู่บนอ่างปลาที่ว่ายวนนี้แล้วขอพลังเฮือกสุดท้ายจงอยู่กับตัวข้า

กำลังใจใหม่เอี่ยมขอให้ทำหน้าที่ด้วยนะคะ ขอโทษที่ยังพยายามดึงบางอย่างเพราะไม่อยากให้มันฉาบฉวยอยากให้คุณค่าของเรามันทวีคูณจนสูงสุด มีความสุขดีนะหวังว่าคงยิ้มออกกับความสัมพันธ์ของเรา

วันจันทร์ที่ 13 ธันวาคม พ.ศ. 2553

ิback to the basic

แม้เส้นทางชีวิตอาจจะไม่หรู แต่ให้รู้ไว้เพียงว่าคนอย่างฉันสัญญาว่าจะรักรักเธอตลอดไป

อยากอยากที่จะลองถามว่าเธอพร้อมร่วมทาง เคียงข้างกันกับคนอย่างฉันหรือป่าว ....

          ภายในใจกลับมีภาระอันหักอึ้งขวางหน้าอีกแล้ว และต้องผ่านไปให้ได้ซะด้วยมันต้องเป็นไปได้ด้วยดี คงต้องรบกวนเพื่อนๆในการผ่านภารกิจครั้งนี้ ขอกำลังใจด้วยนะคะ แม่ สวาทcat แล้วเมื่อถึงเวลาที่สมควรเราจะได้เดินด้วยกันในหมู่ดาว

          ฉันไม่รู้ว่าวันพรุ่งนี้ดวงดาวจะหายไปไหน ฉันไม่รู้ว่าวันพรุ่งนี้โลกเราจะเป็นเช่นไรแต่ฉันก็รู้หัวใจของฉัน จะมีเพียงเธอท่ามกลางหมู่ดาวจะไม่มีความเหงาเข้ามากล้ำกลายเพลงนี้เพื่อเธอมันเป็นของเธอรู้ไหม ทุกคำที่กลั่นออกมาจากหัวใจ เราจะลอยข้ามฟ้า....ไปด้วยกันนะคะ Jantanee & Jadenathee

unstoppable

         มีเรื่องราวมากมายที่ยากต่อการตัดสินใจ ยากต่อการที่จะผ่านพ้นมันไป แต่ถ้าไตร่ตรองดูให้ดีมันก็ไม่ใช่เรื่องที่สลับซับซ้อนเกินที่จะเข้าใจถึงสิ่งกำลังจะเกิดขึ้นไม่แปลกที่จะริเริ่มลองรักใครอีกซักครั้ง ความรู้สึกนี้คล้ายๆว่าเคยได้เจอที่ไหนมาก่อน รึคล้ายๆว่าฉันกำลังจะเดือดร้อน เธอจะเป็นอีกคนรึป่าว จะเป็นอีกคนรึป่าว อย่างที่เค้าทำกันที่ผ่านมา เธอจะเป็นอย่างเดิมรึป่าว อย่างที่ฉันนั้นเคยเจอรึยังไง จะโดนอีกทีรึป่าว ... หวั่นใจเหลือเกิน
         ในช่วงเวลาที่เหมือนจะต้องรอคอยใครซักคนแต่กลับมีสิ่งดีๆเกิดขึ้นระหว่างความรู้สึกมันก็ยากที่จะปฎิเสธ เพราะเธอคงไม่รู้ว่าจริงๆแล้วเราแอบมีใจให้เธอในช่วงเวลานึงที่มันผ่านมาแต่ด้วยสิ่งต่างๆปัจจัยหลายๆอย่างไม่เอื้อ เวลาสถานที่และโอกาส จึงทำให้ยังไม่เกิดวันนี้ ขอพลังแห่งความรักความเชื่อจงอยู่กับตัวเราทั้งสอง ถ้ามันจะเกิดอีกครั้งขอให้มีแต่ความเข้าใจ แรงสนับสนุนจากฟากฟ้าที่มองไม่เห็นน้อมนำเราไปสู่สิ่งที่เราต่างก็ปรารถนา เฉกเช่น วันเวลาที่เราได้คุยเรียนรู้แลกเปลี่ยนกันด้วยความรู้สึกพิเศษ

         ขอให้รักต่อจากนี้ ให้รักเราผลิบานให้ฟ้าช่วยประทานพร ดลบันดาลต่อจากนี้ ให้สองเราผูกพันเกิดเป็นความทรงจำที่ดี

         เราคงได้พบกันบนดวงดาวของเรานะคะ ญ ผู้มีกลิ่นจัน = จัน - ทะ -นี

วันอาทิตย์ที่ 12 ธันวาคม พ.ศ. 2553

ถึงซับซ้อนแต่สวยงาม ทั้งขื่นขมและอมหวาน

         ค่ำคืนแห่งการหลงลืมสิ่งที่เป็นตัวเอง ล่องลอยอยู่กับความอบอวลของกลิ่นอายไร้สำนึกกับสองเราที่เนิ่นนานในภวังค์แต่แสนสั้นในความรู้สึก เป็นอีกวันที่ความสุขเหล่านั้นกลับมาในระยะประชิด ขอบคุณบรรยากาศค่ำคืนที่หวังว่าคงไม่ใช่ืคืนสุดท้ายมันจะแนบลึกนึกคิดไปมากมายกว่าที่เห็นและเป็นอยู่แน่ แต่คงต้องรอคอยให้อะไรๆมันชัดเจน เป็นเรื่องของเวลาที่ผูกติด เมื่อศักราชใหม่เริ่มคืบคลานเข้ามาถึงวันนั้นคงจะมีอะไรที่ชัดเจนในแงุ่มุมของความรักที่หลีกไกลได้กลับเข้ามาพบพานอีกครั้ง
         ขอบคุณที่เข้ามารับฟังความพยายามที่จะสื่อสารสิ่งที่อยู่ภายในให้ได้รับรู้ ขอบคุณที่เข้ามาทำให้รอยแยกเริ่มขยับเคลื่อนที่เข้าใกล้มากขึ้นและหวังว่าเธอจะมาสมานแผลร้ายลึกให้กลับมาจากอาการป่วยจิตเรื้อรัง และขณะเดียวกันขอโทษกับอีกฟากฝั่งที่หายไปคงเข้าใจเมื่อหัวจิตหัวใจมันเปิดกว้างก็พร้อมที่จะหักเหไปสู่หนทางที่ปรารถนายิ่งกว่า Thx & sorry


เจอมาร้ายดียังไงแต่ใจก็ยังต้องการในทุกๆวันโลกหมุนด้วยความรัก...by Crescendo

วันเสาร์ที่ 11 ธันวาคม พ.ศ. 2553

ถ้าในโลกนี้ไม่มี...

       จะเอาดวงใจฉันค้นใจเธอให้เจอะสิ่งที่เธอนั้นเก็บไว้ ถ้าเธอมีคำนั้นไว้ในใจเธอทำไมไม่พูดมันออกมา
ฉันรู้เหมือนที่เธอรู้ ว่้าความรักต้องใช้วันเวลา...จะอยู่เพื่อจะฟังคำนั้นนั่นคือรางวัลที่ปรารถนา คุ้มค่ากับการค้นใจของเธอ

        ตื่นมากับความทรงจำเลอะเลือน จำได้เพียงว่าเมื่อคืนได้รับรู้ความรู้สึกที่หลอกหลอนตัวเองอีกครั้งกับสิ่งที่ทำลายและสร้างสรรค์สิ่งต่างๆมากมายบนโลกใบเล็กๆใบนี้ ถ้าในโลกนี้ไม่มีสิ่งที่เรียกว่าความรักทุกๆคนรวมถึงเราก็คงไม่มายืนถึงจุดที่สูงชันและหนาวเหน็บแบบนี้ บ้างก็เปรยว่าความรักเปรียบเสมือนเหมือนอากาศ ที่มันช่วยหล่อเลี้ยงให้ทุกชีวิตได้คงอยู่ มีลมหายใจ โลกหมุนด้วยความรัก...

        แต่กับวันนี้วันที่ต้องฉุกคิดกับก้าวต่อไปของความรักที่กำลังจะเข้ามาทบทวนตัวเองหลากหลายมิติก็มองไม่เห็นว่าถ้าเกิดขึ้นจริงเราจะควบคุมและอยู่กับมันได้อย่างมีความสุขอีกครั้งรึป่าว เหมือนจิตใจห่างเหินกับความรักใคร่ที่แนบสนิทใจแบบที่คนส่วนใหญ่ในโลกนี้เค้าเป็นกัน ความเข็ดขยาดกับหลายครั้งทำให้รู้สึกหวาดหวั่น แต่จะเกิดอะไรต่อไปก็คงไม่ทำให้ความเชื่อในตัวตนและความสัมพันธ์เกิดการกระทบกระเทือนไปได้ จงอยู่กับสิ่งที่ผ่านเข้ามาให้มีความสุข

       สสารที่มีในโลกเมื่อเทียบกับปฎิสสารที่อยู่ในจักรวาลมันเทียบกันไม่ได้ เช่นเดียวกันกับความคิดเล็กๆกับความรักที่มืดบอดยังอ่อนด้อยเมื่อเทียบกับเรื่องราวของความรักมากมายที่อยู่ในโลกนี้ ไม่รู้ว่าเธอจะคิดอย่างไร เมื่อจิตใจมันเกือบจะเตลิดเปิดเปิง อย่ามาทำให้เป็นแบบนี้ได้รึป่าว เหมือนจะนิ่งกับความสัมพันธ์แต่ข้างในมันยิ่งกว่าพายุสุริยะเธอรู้รึเปล่า

สิ่งที่ฉันเป็น

อะไรอะไรเดิมๆแต่สิ่งที่กำลังจะเปลี่ยนแปลงไปมันกลับไม่ได้ทำให้เรารู้สึกกระตือรือร้น น่าแปลกที่ความทรงจำดีๆมันเลือนลางจางหาย เหลือเพียงเงาบางซ่อนตัวอยู่ในก้านสมองส่วนสูญเสียการควบคุมด้วยซ้ำไป 

การต้องต่อสู้กับตัวเองนี่มันเจ็บปวดท้าทายดีแท้ "ลับแลแก่งคอย" อีกเล่มของซีไรท์ ที่อ่านทีไรก็สำเหนียกในชีวิตซะจริงนะมึงเนี่ย 

ทุกๆวันและทุกๆเรื่องราวที่ผ่านนอกจากบ่นกับชีวิตความท้อแท้และรักไร้หลักแล้วแทบจะหาสิ่งที่เป็นคุณูปการต่อชีวิตไม่เจอ

เวลาระยะทางและจักรวาลไม่อาจขวางกั้นสิ่งที่อยู่ข้างในการยืดหดของห้วงเวลาอาจเกิดขึ้นได้ตามทฤษฎีที่ขัดแย้ง แต่จะมีใครที่จะข้ามผ่านช่องว่างแห่งห้วงอารมณ์มนุษย์ที่สลับซับซ้อนไปสู่ความสุขปลายแสงอุโมงค์อันมืดมิด บัดนี้สิ่งที่หล่อหลอมความนึกคิดมันสุขงอมมากแล้วแต่ยังไม่เห็นหนทางที่จะปลดปล่อยพลังงานที่สะสมเก็บงำกับความหลังเลวร้ายร้อยเรื่องราวกับสิ่งที่ผ่านมาวันนี้มีข้อแม้ทางธรรมชาติอยู่หลายสิ่ง ก็คงเป็นอีกแบบฝึกหัดนึงที่ต้องการคำเฉลย 

ขอโทษที่หลายครั้งหลายคนยากจะเข้าใจสิ่งที่เป็นอยู่ มันยิ่งใหญ่เกินกว่าจะมีซักชีวิตที่ต้องรองรับเรื่องราวตัวตน เพราะมันคือ"สิ่งที่ฉันเป็น"

วันศุกร์ที่ 10 ธันวาคม พ.ศ. 2553

Internal factor

ภายใต้ความฮาและขำของการสนทนาน่าจะมีสิ่งที่อยู่ภายในเป็นความสัมพันธ์ที่ซ่อนเร้นในภาวะความกดดันรอบด้าน กำลังจะเกิดอะไรขึ้นรึป่าวสัญชาตญาณแห่งความรักมันบอก ว่ามาแรงแซงโค้ง แต่ก็ขึ้นอยู่กับหลายๆอย่าง คิดไปเองก็จิตป่วย ปล่อยให้ทุกอย่างเป็นไปตามเหตุและผลของลำดับเหตุการณ์ละกันนะคะ

ความสนใจและใส่ใจ กับข้อความต่างๆทำจิตใจหวั่นไหวว้าวุ่น แม้จะไม่มีสัญญาณชัดเจนแต่ก็ทำให้อีกฟากนึงมันมืดบอด เหมือนจะแอบหายไปแต่วันที่ฟ้าเปลี่ยนสีกลับเข้าสู่สภาวะเดิมแล้ว เราจะกลับมา หนทางแยก2แพร่งมันไม่มีสิทธิ์เลือกรูปแบบความสัมพันธ์แต่มีสิทธิ์ที่จะรับรู้ถึงความรู้สึก ของแต่ละฟากฝั่ง ก็ยังไม่รู้...แต่ให้เธอลองคิดดูสิ่งที่ฉันทำ เธอไม่ต้องกลัวมันแค่เรื่องของหัวใจ และฉันเองก็อาจจะไม่ใช่เธอแค่ลองเปิดรับหัวใจของฉันหน่อยจะได้ไหม

น่ารักแต่ยังรักไม่ได้เพราะขีดจำกัดบางอย่างให้เธอเข้ามาให้สุดเส้นทางแล้วฉันจะห่อหุ้มทุกอย่างไว้จนเธอออกไปจากใจฉันไม่ได้ เข้าใจมั้ยค่ะ

วันพฤหัสบดีที่ 9 ธันวาคม พ.ศ. 2553

Parallel Equation

เย็นย่ำกับความสัมพันธ์แบบเส้นขนาน รู้ทั้งรู้ว่าไม่มีทางมาบรรจบกันแต่ก็ยอมทุกข์ทนบนความสุขชั่วครั้งเธอก็น่ารักในแบบของเธอใครบ้างจะไม่หวั่นไหวไปกับท่าทีปนกับธรรมชาติของอุปนิสัยที่เราก็คุ้นเคยในรูปแบบที่สร้างความสุขภายในได้เป็นอย่างดี เสน่ห์หา มันเป็นแบบนี้เองหรือ อยู่กับความสดใสที่ถูกปลดปล่อยออกมาภายใต้ภาวะกดดันทางตัวตนและครอบครัวของเธอคงมีความสุขดีนะ ดีใจด้วยที่มีส่วนสร้างความสุขเล็กน้อยเช่นเดียวกันเหมือนเป็นการแลกเปลี่ยนเติมเต็มให้แก่กัน

แต่ย้อนกลับมามองในความเป็นจริงสมการแบบนี้คงไม่มีน้ำหนักมากพอหรืออาจไม่มีตัวแปรใดเลยด้วยซ้ำเพราะในแง่ความเป็นไปได้ทั้ง2เส้นที่มีอยู่ตอนนี้ก็เป็นได้แค่ปัจจัยภายนอกห่างๆไกลๆที่มีอิทธิพลตอนที่ดวงอาทิตย์ดับแสงจันทราเลือนหายในคืนเดือนมืด เมื่อรัตติกาลสว่างจ้าดาวดับดวงนี้คงต้องโคจรหลุดลอยออกไปอยู่ในต่ำแหน่งเดิมของมัน คิดถึงคนมีเจ้าของก็ต้องเป็นแบบนี้ เจอกันช้าไปแต่ดีกว่าไม่เจอแค่นี้ก็มีความสุขดีแล้วนะคะ 

ตอนนี้ความรู้สึกถูกแชร์ซ้ายขวาไม่เข้าใจเหมือนกันกับสิ่งที่เธอทั้งสองเป็นอยู่ตอนนี้ขอรับความเสี่ยงนี้ไว้เองละกันนะคะจะจบจะเจ็บยังไงก็คงได้เท่าที่เป็นอยู่ทุกวันนี้เพราะมันไม่มี ไม่มีตั้งแต่แรกของความสัมพันธ์ของเราแล้ว
 

วันพุธที่ 8 ธันวาคม พ.ศ. 2553

โทร โธ่ โทร โถ

การที่ฉันโทรมา มาจากนิ้วสัมผัส การที่นิ้วสัมผัส จากสมองสั่งการที่สมองสั่ง มาจากหัวใจ โทร โธ่ โทร โถ

นอนแล้วเหรอคะ ไม่เป็นไรนะ ประโยคสั้นๆ แต่ก็เป็นอะไรที่ชินชา กับค่ำคืนที่เมามายไปกับฤทธิ์น้ำอำพัน 

ตายละวาเกย์เต็มไปหมด เพิ่งรู้ว่าเราก็ hot ในหมู่เกย์เหรอวะเนี่ย เหอๆๆ 

ยังไหวอยู่กับวันสุดท้ายของสัปดาห์แต่ไม่ใช่วันสุดท้ายของภาระทั้งตัวและหัวใจ ทั้งความจริงและความฝัน

เย็นนี้คงเป็นอีกวันที่น่าจดจำกับอาหารค่ำที่แสนธรรมดาแต่คงอบอวลด้วยความรู้สึกพิเศษที่แตกต่างกันในด้านความสัมพันธ์ที่แปลกไป ก็คงเป็นอีกวันก่อนที่จะต้องกลับมาสะสางสิ่งที่ผูกติดกับตัวเอง อยู่กับวันหยุดยาวๆที่แสนเดียวดาย อยากกลับไปหาแม่จัง แต่ก็คงต้องดูอะไรหลายๆอย่างที่เกี่ยวเนื่องกัน 


Nobody is perfect....to be continue

วันอังคารที่ 7 ธันวาคม พ.ศ. 2553

วันที่ฉันป่วย

คนที่แพ้ก็ต้องดูแลตัวเอง วันที่เปื่อย กับอาการเดิมๆทุกฤดูเหมันต์ ภูมิแพ้แท้จริงแล้วแพ้อะไรกันแน่ แพ้ความเหงารึว่าแพ้ความขาว เหอๆ

วันที่อะไรๆก็ผลักหักเหให้ทำอะไรตรงข้ามกับความรู้สึก

มันเป็น effect ของยาก่อนอาหารรึป่าวที่ทำให้ความนึกคิด วิตกล่วงหน้ากับสิ่งที่ยังไม่เกิด เมื่อความสัมพันธ์ต่างๆมันพรวดพราดรวดเร็ว ตรงกันข้ามกับอีกฟากฝั่งที่ หยุด ค้างคากับความสัมพันธ์ ที่มันเริ่มห่างไปตามตัวและหัวใจ มันเป็นกฏที่ง่ายดายของความสัมพันธ์ เนื้อตัวอยู่ใกล้ หัวใจแนบชิดมันก็แน่นอนที่จะเหินห่างไปกับคนที่หัวใจห่างหาย กายไม่เคยแนบกัน ไม่มีใครทรยศต่อกฏข้อนี้

คงต้อง Heal ตัวเองให้แข็งแรงทั้งตัวและหัวใจเพื่อเริ่มต้นใหม่ในวันที่แสงตะวันแรกยิ้มรับทักทาย บายนะคะ

วันอาทิตย์ที่ 5 ธันวาคม พ.ศ. 2553

วันที่พ่อไม่รับสาย

ถนนคนเดินในวันพ่อกับผองเพื่อนจากเมืองสองแคว ผู้คนมากมายรายล้อม เดินเตร็ดเตร่อยู่กันสองคทาชายนายหนุ่ม นานๆจะได้พูดคุยเรื่องราวเก่าๆความฝั่นใฝ่ในอดีตถึงอนาคตก็เป็นอีกอารมณ์ที่ขาดหาย

เพื่อนเอยเจ้าก็มีชีวิตที่ดีในรูปแบบแตกต่างกันไป ขอให้เพื่อนมีแนวทางที่ดีชัดเจนและเราคงกลับมาพบกันใหม่ สองสามวันกับการติดกับดักของอารมณ์ แต่ก็มีอะไรๆให้คิดในอีกมิติหนึ่ง เรื่องราวเ่ก่าๆในอดีตที่เมื่อพูดคุยเมื่อไรก็สนุกปากและรู้เท่าทันกันทั้งนั้น แต่วันที่โทรหาพ่อแล้วไม่ัรับสายตั้งหลายครั้งนี่สิ ก็ไม่รู้ชีวิตที่โดดเดี่ยวยังต้องการครอบครัวอยู่รึป่าว ต่างคนต่างมีชีวิตและกระทำตามกรรมที่ได้ก่อเป็นเงื่อนไขของธรรมาชาติที่แสนเที่ยงตรง

แล้วเรื่องหัวใจเราล่ะมันหายไปไหน คิดถึงน่ะคิดถึงตลอดแต่ในเมื่อคิดแล้วไม่ได้อะไรแถมยังต้องโดนแรงสะท้อนกลับมาทำให้ใจหดหู่อีก เหมือนเตะฟุตบอลอัดกำแพงยิ่งแรงเท่าไรมันก็จะกลับมาหาตัวเราเท่านั้น คงต้องอยู่นิ่งๆซักพักเพื่อปรับระดับหลายๆอย่าง การอยู่แบบรอคอยความหวังนี่มันช่างทรมานเสียชิบ

ฟังเพลง Lucky ของ Room 39 กี่ครั้งก็มีความสุขทุกที..... คิดถึงทุกคนที่ผูกติดกับวิญญาณด้านความหลงของผู้ชายที่ติดกับดักอารมณ์ของตัวเอง นะคะ  Pimnara & Nilvila

วันเสาร์ที่ 4 ธันวาคม พ.ศ. 2553

สัญญาณจากสิงค์โปร์

ค่ำคืนที่ว่างเปล่ารอคอยสหายแดนไกล จากเมืองสองแคว กว่ามึงจะถึงวอร์มคงปิดละล่ะ แล้วพรุ่งนี้วันพ่อเค้าจะขายเหล้ามั้ย เอาพวกมึงว่าละกาน

มีสายเข้าจากสิงค์โปร์ หลังการกลับมา อาจมีอะไรๆเปลี่ยนไปไม่มากก็น้อย ไม่อยากรู้ว่าจะเกิดอะไรกับเธอคนนี้หรือเป็นแค่น้องที่เค้าต้องการที่ปรึกษาในช่วงเวลาเลวร้าย หรือตั้งใจที่จะเลวร้ายจึงมาคุยกันแบบนี้แต่ก็ช่าง จะอะไรก็ตามมันก็เป็นสิ่งที่ดีที่เข้ามา

คงไม่มีใครสนิทใจกับความบกพร่องในความสัมพันธ์ อีกคนตั้งใจที่จะเข้าไปแต่ไร้ผล อีกคนไม่ได้ตั้งใจแต่เหมือนกับว่าจะมีอะไร

คนบนดอยจะเป็นยังไงบ้างน้า จะคิดถึงคนข้างล่างบ้างรึป่าว ดูจากทรงแล้วเค้าคงมีความสุขกันดี เตรียมฮันนีมูน เหอๆๆ ตลกไม่ออกนะมึงเนี่ย

ยังจะโทรมาชวนไปแรดอีกนะคะน้องฟ้าพี่เจ็บคอจ้าไม่ไหวจริงๆ แล้วไม่ต้องมาบอกว่าโสดพี่เบื่อ

วันศุกร์ที่ 3 ธันวาคม พ.ศ. 2553

ที่ว่างระหว่างนิ้วมือ จะมีไหม...

บางทีพระเจ้าอาจสร้างที่ว่างระหว่างนิ้วมือของเราเพื่อที่จะรอมืออีกมือของคนอีกคนหนึ่งมาประสานแนบไปกับมือของเรา วันนั้นจะมีมั้ย...

วันที่กลับมาทำอะไรๆ วกวนซ้ำเดิม ส่วนหัวใจไม่มีมันคงติดตามใครคนหนึ่งที่เค้าคงมีความสุขกับคนของเธออยู่บนที่สูงแต่ไม่เหน็บหนาวทางหัวใจเหมือนคนที่อยู่บนพื้นราบ

คงไม่มีอะไรที่ต้องค้นหาอีกแล้วกับผู้ชายอย่างเรา มันคงเร็วไปกับความสัมพันธ์ไม่ถึงสองเดือน แต่ในมุมกลับถ้าเป็นปอก็คงไม่รู้จะคุยอะไรอีกกับผู้ชายแบบนี้ มันผุพังไปด้วยอดีตและตัวตนที่ขมขื่น หักเห อารมณ์แปรปรวน หรือจะจบที่ตรงนี้ ไม่มีมิติในใจอีกด้านที่มองอะไรๆในแง่ดีบ้างเลยเหรอวะเราเนี่ย ก็เค้าไปเที่ยวกับแฟนมึงไปเดือดร้อนอะไร มึงเป็นใครไอ้บ้า รู้ซะมั่งดิ

ทำไมต้องจบลงที่การแดกเหล้าทุกครั้ง และก็ไม่เคยเข็ดที่ต้องแอบรักแอบคิดถึงแฟนคนอื่นอาจเป็นเพราะ

"เหล้าทำลายแค่ตับ แต่ไม่ได้ทำลายหัวใจมั้ง"

ไม่มีใครรู้วันแรกของวันที่เหลืออยู่จริงๆ

แล้วสิ่งที่แปรผันมันก็ผันผวนวกกลับมาในแนวทางที่ต้องเตรียมจิตใจและร่างกายให้พร้อมเพื่อรองรับเหตุการณ์ที่แสนสันดาน สรุปมึงจะเอาไงกันแน่ จบ

ค่ำคืนแห่งดวงดาวกับเวลาแค่ 2 ชั่วโมงกลับมีความหมายกับสองชีวิตที่เรียงร้อยถ้อยคำ พรั่งพรู เนิ่นนานที่มีความสุขกับสิ่งที่เป็นความพึงพอใจของ 2 ดวงดาวที่ล่องลอยในมิติแห่งความสัมพันธ์ที่แตกต่างซ่อนเร้น แอบลับลวงพรางแต่เปิดเผยในแง่ความรู้สึก ประหลาดกับสิ่งที่เกิดขึ้นมันเป็นพร้อมยินยอมหรือถูกจิตใต้สำนึกบังคับให้ตอบสนองสิ่งที่อยู่ต่อหน้าด้วยสายตาแผ่วเบาในแววตา สุดคำบรรยายในเจตนาที่เราต่างรู้ มันเกินคำอธิบาย จบและหยุดความสัมพันธ์ในความเป็นจริงไว้เพียงค่ำคืนนี้มันคงจะดีแต่เมื่อต่างฝ่ายพร้อมที่จะถูกกระตุ้นเรียกร้องเมื่อนั้นเราจะกลับมาสบตากันอีกครั้งมนค่ำคืนที่มีแต่ดวงดาวของเรา จะคิดถึงปอนะ

ถอยกลับออกมาจากห้วงใจกลางความสงัด ยังพบเจอข้อความจากคนที่เพิ่งผ่านเขามาแนบความรู้สึกพิเศษที่ต่างก็รับรู้ถึงครรลองของเธอที่ไม่สามารถก้าวข้ามความอิสระในการใช้ชีวิตได้ เที่ยวให้สนุกนะคะ เอาลอดช่องสิงค์โปร์มาฝากด้วยนะคะ จะคิดถึงเสมอจนกว่าวันที่ความสัมพันธ์มันจะถูกแปรเปลี่ยนเป็นอย่างอื่น
และสุดท้ายก็ไม่มีข้อความสุดท้าย

จนกว่าจะพบกัน จงทำทุกวันให้มีความสุขเพราะเราไม่มีทางรู้ว่าวันไหนจะเป็นวันแรกของวันสุดท้ายที่เราจะมีสติสัมปชัญญะ อยู่บนโลกนี้

วันพุธที่ 1 ธันวาคม พ.ศ. 2553

สุดสัปดาห์ที่ต้องจริงจังซักที

สุดสัปดาห์ที่หลายๆคนมีวันหยุดยาวสามวันอยู่กับครอบครัว ท่องเที่ยวตามที่ใจปรารถนา แต่คนบางกลุ่มต้องตรากตรำทำงาน และก็มีคนบางส่วนของสังคมไม่ได้หยุดพักผ่อนเพราะเก็บสะสมเรื่องราวความยุ่งเหยิงของงานที่ค้างคาอยู่กับเงื่อนเวลา ที่จะต้องทำให้เสร็จควบคู่กับภาระขาจรที่มาจากความควบแน่นของงานหลายดานที่ไม่เป็นหมวดหมู่ไร้ะเบียบ ฟางเส้นสุดท้ายที่มีมากมายหลายเส้น มันพรั่งพรูออกมาพร้อมกับความสิ้นหวัง จากเรื่องราวของความรัก

ไ้ร้ซึ่งความเห็นใจจากคนใดรายล้อม นี่อาจจะเป็นรอยต่อครั้งสำคัญที่ทำให้ความคิดความอ่านกลับไปสู่จุดดิ่งแนวแนวที่แบนราบทางอารมณ์อีกครั้ง

ติดอยู่กับเวลาที่ต้องทำให้จบลงมาไกลเกินจะไปพร่ำเพ้อแล้ว ทำซักทีเถอะ

วันอังคารที่ 30 พฤศจิกายน พ.ศ. 2553

ชีวิตอัตนัย

จงก้าวผ่านชีวิตปรนัย Multiple choice ให้ได้

เป็นอีกเช้าที่ไม่อยากตื่นไปพบเจอหน้าใคร อยากหายไปจากโลกนี้
เมื่อวานกับความหดหู่ทางจิตวิญญาณ เมื่อเขามาก็ไม่เหลือเรา

เธอกับเขากับรักของเรา(จบขาดการติดต่อเพราะคนของเธอมา)จะเป็นไปได้อย่างไร

เฮ้อเมื่อไรจะหลุดออกจากชีวิตปรนัยทางหัวใจวะเนี่ย ที่ต้องเป็นตัวเลือกให้คนอื่น
ก็ไม่อยากต้องให้ใครมารับภาระทางอารมณ์และตัวตนนี่หว่าก็ต้องยอมแลกให้ได้มาเพื่อความต้องการบางอย่าง

วันจันทร์ที่ 29 พฤศจิกายน พ.ศ. 2553

สิ่งดีๆที่ผ่านมาตอนนี้

นานที่ไม่มี sms จากบุคคลนอกเหนือจากโฆษณาทางมือถือ เอ๊ะรึจะเกิดเหตุอุบัติภัยทางหัวใจ บ้าน้องเค้ามีแฟนอยู่แล้ว แต่มึงชอบไม่ใช่เหรอพวกแฟนชาวบ้านเนี่ย ตัวขาวและดำต่อสู้กันอีกครั้ง พอๆๆ ยั้ง

สรุปว่า แฟนเค้าเราไม่มีสิทธิ์ แต่ถ้าจีบติดก็เป็นสิทธิ์ของเรา จบ

พรุ่งนี้เราจะได้ไปกินนมด้วยกันรึป่าว ฟังจากน้ำเสียงเหมือนคนของเธอจะมา เมื่อไรจะสลัดความรู้สึกนี้ออกไป ปากบอกปลง แต่คงทำยาก

เมื่อวันที่ข้างทางรายล้อมไปด้วยความธุรกันดารของขวากหนามของกิเลสตัณหา ต่อสู้กับสิ่งที่มองไม่เห็นในใจของเราเอง จะมีใครบ่งบอกถึงที่สุดแห่งหนทางฟ้าใสใต้เงามืดมัวระหว่างสิ่งแวดล้อมกับจริยธรรมด้านมืด ไม่รู้ ไม่รู้ 

ข้อความแสดงออกถึงความห่วงใยที่มีในตัวอักษรทุกตัว
การที่ใช้นิ้วกดแป้นมือถือ มันสั่งมาจากสมองส่งผ่านมายังกล้ามเนื้อลายบริเวณแขนและนิ้ว Reaction ต่างๆของเซลล์ประสาทและกล้ามเนื้อ จะมีซักเส้นมั้ยน้าที่ถ่ายทอดมาจากหัวใจ...สิ่งที่ดีที่ผ่านเข้ามาอีก1ตัวละคร

วันเสาร์ที่ 27 พฤศจิกายน พ.ศ. 2553

นับถอยหลัง Into the countdown

ค่ำคืนลูกทุ่งวิจิตร ไม่เหมือนดั่งที่ตั้งใจไว้ ผู้คนมากมาย ไร้ความคึกคักเพราะผูกติดกับความคาดหวังมากจนเกินไป กลับมานั่งร่ำ น้ำสีอำพันในห้อง กับฟุตบอลทีมโปรดคงเป็นความสุขในรูปแบบที่คุ้นเคย

การนับถอยสู่อนาคตที่เปลี่ยนแปลง รอยต่อ ร้าวลึก หนทางที่มืดมนแต่สว่างไสวทางอิสรภาพ ขัดแย้งมิติทางสังคม หมดไฟแล้วกลับชีวิต"คนรับจ้างสอนหนังสือ" แล้วสิ่งที่ร่ำเรียนมาเพื่อ? ไม่มีคำตอบ มันขัดแย้งตั้งแต่แรกเริ่มจนมันมาไกลเกินที่จะกลับไปแก้ไข แต่ชีวิตที่ไร้ซึ่งสิ่งจูงใจ ก็คงต้องทำตามใจตัวเองบ้างคงไม่ผิดอะไร หันกลับไปมองผู้คนที่ห่วงใย ก็ไม่รู้จะหาคำตอบให้พวกเขาเหล่านั้นอย่างไรกับชีวิตที่กำลังจะเปลี่ยนแปลงไป

อิสระไร้เกียรติและศักดิ์ศรี ก็ยังดีกว่าผูกติดกับความคาดหวังของผู้คนสังคมและคนรอบข้างที่เมื่อถึงเวลาวิกฤตกลับไม่มีสิ่งใดตอบแทนในมุมของจิดและแรงบันดาลใจ ขอพลังจงอยู่กับท่านที่แสวงหาความอิสรชนทางความคิดและชีวิตที่ไร้ขอบเขตจำกัดทางสังคมแนวตั้ง...

วันศุกร์ที่ 26 พฤศจิกายน พ.ศ. 2553

Try

รออย่างนั้นรอให้ฝันเป็นจริงสักครั้ง รออย่างนั้นก็ไม่รู้สักที ถ้าไม่เคยลองทำตามหัวใจจะรู้ได้ไงว่าเราจะไปได้ไกลซักเท่าไร

วันที่หัวใจห่อเหี่ยวโหยหา หักเห ไปตาม แสงสี สรรพสิ่ง สังสรรค์ แต่ไร้จุดหมาย สุดท้ายก็คงต้องกลับมาเป็นแบบเดิม ว่างเปล่า เศร้าสร้อย ปลดปล่อยความเหนื่อยล้า ทุกๆอย่างแล้วนับหนึ่งใหม่ในวันที่ฟ้าสีเทา

ท่ามกลางผู้คนมากมายแต่ยังคงคิดวกวนอยู่ ทำไม ๆๆ เฝ้าถามตัวเองเรื่องเดิมๆ
จิตตกแล้วตกเล่า เข้าสู่หุบเหวใต้ทะเลดิ่งลึกไม่หวนกลับ อะไรทำให้เป็นแบบนี้
รู้อยู่แล้วแต่เพรียกหาเพื่อหวังว่าจะมีมือใครซักคนเข้ามาหยิบยื่นเพียงปลายก้อยแต่กลับว่างเปล่า ขัดแย้งหลีกหนีออกไปจากจิตใต้สำนึก

วันนี้ไม่ขอคิดอะไรนอกจากร่ำ เมรัยไปกับอากาศและลมแห่งเหมันต์เคล้าเสียงพูดคุย กับคนเคียงข้างที่มีพันธนาการ ไร้รูปแบบความสัมพันธ์ อีกวันที่อาจจะมีความสุขหลงเหลือแม้เพียงเศษเสี้ยว

วันพฤหัสบดีที่ 25 พฤศจิกายน พ.ศ. 2553

แตกแยกทำให้แปลกแยก

มีผู้คนอีกมากมายที่มีเส้นทางที่แตกแยก แปลกแยกทางมิติด้านชีวิต ความคิดและสังคม แต่จุดเล็กๆเสี้ยวนึงของรอยร้าวกลับพบเจอกับอณูของความขมขื่นซอกซอนอยู่ในด้านนึงของความคิดที่เป็นตัวจุดประกายความบอดอ่อนด้อยทางสังคมเชิงเปรียบเทียบ ไม่ต่างอะไรก็บผู้พิการทางเส้นเลือดสมองส่วนของความอบอุ่น นี่เป็นผลกระทบที่ซ้อนเร้นอยู่ในซอกหลืบของจิตใจคนหลายต่อหลายคนแต่ไม่มีใครยักแสดงออก ถึงความพิการในส่วนที่ว่า

ความเข้าใจในส่วนนี้ถือว่าสำคัญต่อการปรับเปลี่ยนพฤติกรรมแต่มันกลับไม่มีประโยชน์อันใดกับบางคนที่ไร้ซึ่งความทะเยอทะยานทางความคิด ทางชีวิต และ ทำตัวให้เป็นเส้นขนานไปกับกลุ่มคนสังคมนิยม


บทความจาก สำนักพิมพ์ คนแนวนอนสอนคนแนวตั้ง (หาซื้อได้ที่ชานชลา ที่3 1/2 สถานีรถไฟไปหา harry พ่อมึงเต๊อะ)

วันจันทร์ที่ 22 พฤศจิกายน พ.ศ. 2553

บนรอยต่อมีรอยแผล

บนรอยต่อมีรอยแผล จากวันที่แพ้ล้มลงหมดกำลัง บางเกินกว่าจะทานไหว หากเธอไม่พร้อมจะรับมันจากนี้ เกินคำอธิบาย...

สิ่งดีๆที่ผูกพันทุกวันที่เราอยู่  ต่างก็รู้แค่เวลาที่เราห่าง ต่อเติมวันที่ผ่านมาทุกรอยที่เราต่างในความหมายลึกเกินคำอธิบาย

วันที่เราหลอกตัวและหัวใจหลอกทุกอย่างรอบตัวหลอกความเป็นจริงอยู่กับความว่าง ความฉ้อฉลต่อความสัตย์ ฝืนความเป็นไปของสังคมแหวกกฏเกณฑ์ที่เห็นและเป็นครรลองของผู้คนส่วนใหญ่ หรือนี่คือจุดเริ่มต้นของเส้นทางที่มืดและหนาวเหน็บแบบที่เราต้องการมันจะต้องเจอรอยต่ออีกเท่าไรถึงจะเจอสิ่งที่มาผสานรอยแยกเหง่านี้ให้สมานกลับมาเป็นเหมือนเก่า ...

คืนนี้คนมากมายต่างเฉลิมฉลอง อยู่กับผู้คนที่รักแต่เรากลับปลีกวิเวกจากปฎิสัมพันธ์ เข้าสู่วังวนของอารมณ์ นี่คงเป็นความสุขอีกรูปแบบหนึ่งที่ยากนักน้อยคนจะเข้าใจและสามารถสัมผัสมันได้...

วันอาทิตย์ที่ 21 พฤศจิกายน พ.ศ. 2553

คืนเดือนเพ็ญ

อีกวันที่ใจเหงาเปล่าเปลี่ยว ไม่มีอะไร ไม่มีใครติดต่อ ไม่มีแม้ปฎิสัมพันธ์จากเสียงและโสตประสาท ว่างเปล่ากับจิตใจว้าวุ่น คิดถึงแต่แฟนคนอื่น ผู้คน โคมไฟรายล้อม เสียงพลุดังกึกก้อง แสงไฟสดสวย ผู้คนคึกคัก แต่มันเหมือนขาดอะไรไป ในหัวสมองและหัวใจว่างเปล่า กลับมาที่ห้องสี่เหลี่ยม ก็ไร้เงาคนเคียงข้าง อยู่หน้าจอ รอด้วยใจโหยหาแต่ก็ไร้วี่แววของความกรุณาจากสิ่งเล็กๆที่จะหล่อเลี้ยงจิตใจ ไม่มี ไม่มี เพราะมันไม่มีตั้งแต่แรกแล้ว รึจะแค่หยุดไว้เพื่อรอเชื้อไฟมาต่อเติม


ความคาดหวังเกิดขึ้น มันจะเกิดทุกข์ ก็รู้อยู่ยังปล่อยไอ้ความคาดหวังหลุดลอยออกมาจากเบื้องลึกของพันธนาการ พอๆๆๆพอแล้ว

วันศุกร์ที่ 19 พฤศจิกายน พ.ศ. 2553

เข้าใจปอนะ

ฉันเข้าใจอะไรๆได้ดีเสมอ ไม่ต้องห่วงนะคะปอจ๋า บอกแล้วไงเรื่องของเราจะคิดถึงแค่วันนี้ พรุ่งนี้ไม่รู้มันจะเป็นยังไง หลับตาตื่นมาจะคิดถึงปอทุกวัน วันใดที่ไม่ตื่นก็คงจะไม่ได้คิดถึงปออีก

วันที่อยู่กับตัวเองและงานก็ยังคั่งค้างออกไปพบเจอผู้คนมากมายแต่กลับเหงาเดียวดาย อะไรมันหายไปจากหัวใจของเรา


มองไปที่ฟ้าไกลที่ดวงดาวคู่นั้นดวงตาของฉันเฝ้ามอง แสงที่เธอสัมผัสเชื่อมความคิดของเราให้ถึงกัน

เมื่อไรที่คิดถึงฉันให้รักแทนดวงตาฉันจะมาเจอเธอที่หัวใจ
ขอให้ปอมีความสุขในวันพิเศษกับคนที่ปอรักนะแล้วเราคงได้พบกันในเวลาที่เราต่างก็รู้ดี
ว่าไม่มีความคาดหวังอะไร แต่ในใจมันร่ำร้อง...บาย คิดถึงปอเสมอนะ (ดวงดาวที่นิ้วก้อย)

วันพฤหัสบดีที่ 18 พฤศจิกายน พ.ศ. 2553

สุดท้ายก็เหงา

สุดท้ายและสุดท้ายและสุดท้าย อะไรที่มันไม่ถูกไม่ต้องก็เป็นไปตามครรลองของมันที่ควรจะเป็น สุดท้ายปอก็อยู่กับคนของเธอในวันเทศกาลที่คนค่อนประเทศให้ความสำคัญแต่เราก็คงอยู่กับความสิ้นหวังท้อแท้ทั้งเรื่องวิทยานิพนธ์ที่พยายามอย่างเต็มที่แต่ก็ยังไม่สำเร็จซักที เรื่องราวที่ผ่านมามันมีลำดับขั้นของความผิดหวังมาเป็นระยะๆทำไมต้องประเดประดังเข้ามาในช่วงเวลา ฤดูกาล และสภาวะที่มันยากจะฝ่าฟันขอนอนหลับพักซักวันเพื่อที่จะตั้งสติ พักหัวใจ พักตับไตไส้พุง ทุกอย่างสายตาที่ว่างเปล่ามันบีบรัดคิ้วที่แน่นขมวดปมมาหลายวัน ผ่อนพักตระหนักรู้ถึงความทุกข์สุขที่เป็นไป

ปอจ๋าไม่อยากอยู่ในวังวนของความคาดหวัง หวังในสิ่งลมๆแร้งๆ แต่จะทำยังไงได้เมื่อชะตาฟ้าลิขิตให้เราต้องมาทำผิดร่วมกัน แม้เป็นแค่ทางใจก็ตาม ฟ้าจ๋าฟ้าบอกทางออกของความสัมพันธ์นี้ทีไม่นานแต่ทำให้เกิดปฎิกิริยาทั้งในและนอกใจต่างๆนานๆ ปอได้โปรดอย่าทำให้เป็นแบบนี้เลย คิดถึงปอนะ

ปล.เธอคงจะมีความสุขกับสิ่งที่มันเป็นความถูกต้อง ขอให้มีความสุขในสามวันยี่เป็งนี้นะคะ แม้จะต้องเจ็บช้ำเหงาเดียวดาย จะไม่โทรหาละนะ เข้าใจจริงๆ

วันอาทิตย์ที่ 14 พฤศจิกายน พ.ศ. 2553

อีกหนึ่งอาทิตย์ที่หนักหนาสาหัส

นับไปอีก7วันที่ไม่ธรรมดาที่เราจะต้องผ่านสิ่งต่างๆไปด้วยการมีสติ ความพร้อมหลายๆอย่าง ขอพลังจงอยู่กับตัวเราและท่านนะ อะไรที่มันจะถาโถมเข้ามาก็ขอให้ผ่านลุล่วงไปได้ด้วยดี มันไม่มีเวลาให้เรารอคอยอีกแล้ว ต้องบอกตัวเองซักทีว่า ต้องทำให้เสร็จ และบริหารทุกอย่างให้แล้วเสร็จในเวลาที่จำกัด ปอจ๋าขอกำลังใจหน่อย รู้มั้ยว่าใจอ่อนแอทุกครั้งที่เราได้พบกัน แต่จะขอดึงมันมาเป็นกำลังใจเล็กๆให้ก้าวผ่านสิ่งต่างๆในช่วงเวลาสำคัญนี้ ขอเถอะขอนะคนดี อย่าเพิ่งเดินหนีไปไหน

ขอแค่เสียง คำพูด เล็กน้อยจากเครื่องมือที่ชื่อว่าโทรศัพท์ ก็เพียงพอต่อลมหายชายในเงาจันทร์คนนี้แล้ว ฝันดีนะคะ

วันเสาร์ที่ 13 พฤศจิกายน พ.ศ. 2553

ตื่นแต่เช้า ปลุกตัวเองด้วยเพลงเพราะๆซักเพลงนึง

ตื่นแต่เช้า เพราะมีเสียงปลุกจากลำพูน หรือเธอกำลังรักษาน้ำใจหรือ เธอได้ใคร่ครวญถึงสิ่งต่างๆที่ดีๆตลอดหนึ่งเดือนที่ผ่านมาแล้วมันเป็น effect ที่เราได้รับ แต่ถึงจะเกิดจากอะไรก็ช่างมันก็เป็นสิ่งที่ดีๆที่เกิดขึ้น แค่ความสุขจากเสียงโทรศัพท์เล็กน้อยก็ทำให้จืตไร้สำนึกได้ตื่นขึ้นจากการหลับไหล ไม่ว่าเธอนั้นจะตอบสนองด้วยจิตใต้สำนึกหรือจิตสึกนึกระดับก็ตามมันคือสิ่งที่เราโหยหาไม่ใช่หรือ หรือจะเป็นการประคับประคองความสัมพันธ์แบบเกื้อกูลกันแน่ มีอะไรที่เราพอจะช่วยเหลือในสิ่งที่ดีๆเราก็เต็มใจอยู่แล้วไม่ต้องห่วงและคำนึงถึงมารยาทนับจากนี้ ขอให้จิตใต้สำนึกของเธอที่อยู่กับเราจงทำหน้าที่ของมันต่อไป ถึงในความเป็นจริงแล้วจิตสำนึกของเธอจะผูกติดกับคนรักของเธออย่างแยกกันไม่ออก แต่ขอแค่เสี้ยวนึงของความคำนึงคิดถึงสิ่งที่ดีๆระหว่างเราบ้างในบางเวลา ก็พอ...

Sub conscious mind in My mind and you นะคะ ปอ

วันศุกร์ที่ 12 พฤศจิกายน พ.ศ. 2553

ความสัมพันธ์แบบกราฟเส้น

ขึ้นๆลงๆกระชากอารมณ์รักให้แหลกเหลวไปตามใจเธอจริงๆเล๊ย
ปากก็พร่ำว่าเพื่อนแต่ที่เธอกำลังแสดงออกมันทำให้ใจเตลิดไปถึงไหนต่อไหนรู้บ้างมั้ยว่าคนที่ไม่มีใครมันเป็นเอามากนะ แต่เธอก็ยังอยู่กับคนของเธอ ไม่ได้โทษเธอที่ทำแบบนี้เพราะมันก็เหมือนเป็นการหล่อเลี้ยงหัวจิตหัวใจของคนตายซากให้มีชีวิตชีวาขึ้นมา แต่มันขาดๆหายๆ เกินๆไม่พอดีซักทีกับความสัมพันธ์แบบตลาดหุ้น แล้วเมื่อไรล่ะอีก ปีอีก2ปี หรืออีกกี่ปี ในทางทฤษฎีแน่นอนมันรอได้ แต่ในทางปฎิบัติแล้วจิตใจ บรรยากาศ ความเหงา และสิ่งจูงใจมันเป็นปัจจัยแวดล้อมให้เราทำไม่ได้

ปอจ๋าทำไมต้องเข้ามาทำให้เค้าต้องเป็นแบบนี้ คืนความอ้างว้างเดียวดายที่ไร้ความโหยหา และคิดถึงแต่ปอคืนมาได้มั้ย ถ้าไม่คืนมาก็ขอให้เก็บไว้แนบกายขนาบไปข้างใจปอนานๆนะ

วันอาทิตย์ที่ 7 พฤศจิกายน พ.ศ. 2553

เทศกาลเล่นดนตรีการกุศล

เล่นดนตรีแบบนี้ก็ทำให้ไม่ต้องคิดไรมากดี ไม่ต้องมีเวลาคิดถึงแฟนใคร รู้ว่าเค้าก็ยังอยู่กะแฟนจะโทรไปทำป้าไรมึงเนี่ย หาเพลงไปเล่นพรุ่งนี้ดีกว่า 

ดนตรี ความฝัน ความสุขที่เราสร้างขึ้นเองได้ โดยไม่ต้องเจ็บช้ำ เพราะรักปอ แต่เค้าไม่สนใจ เฮ้อ 

แต่งานหลักคือวิทยานิพนธ์นะเว้ย อย่าลืม ทำๆๆ

วันพฤหัสบดีที่ 4 พฤศจิกายน พ.ศ. 2553

ถ้าไม่ดูแลตัวเองแล้วแบบนี้จะไปดูแลใครได้

อาหารญี่ปุ่นมื้อแรกของเราและหวังว่าคงไม่ใช่มื้อสุดท้ายนะคะ

ชีวิิตที่ขาดแรงจูงใจ มันกลับมาซู่ซ่ามีชีวิตชีวาอีกครั้ง หลังจากไม่มีใครบ่นใครเตือนมานานแสนนาน
ใช้ชีวิตเสเพล หลงระเริงกับสิ่งที่เข้ามาตลอดเวลา วันนี้เหมือนได้สติ ทั้งที่ก็รู้อยู่ว่ามันเป็นยังไงก็ไม่เคยแน่ใจเท่านี้มาก่อนว่ามันใช่ ขนาดแม่และพี่สาวมึงยังไม่ฟังเลยแล้วเธอเป็นใครทำไมถึงหวังดีกับเราจัง แสดงว่าต้องมีนัยสำคัญอะไรบางอย่าง แล้วทำไมเราต้องเชื่อ ต้องฟัง สิ่งดีๆหลายอย่างกำลังเกิดขึ้น แต่สวนทางกับความเป็นจริง เพราะในวันพรุ่งนี้ ความจริงมันก็ทำร้ายความสัมพันธ์ของเราจริงๆ "แฟนปอมาหา" จบ...จุก
แต่เข้าใจมากกว่า ดีขนาดไหนที่ยังแบ่งที่ว่างให้ยืน ถึงแม้จะเป็นที่เล็กๆ เหน็บหนาวและอาจต้องยืนขาเดียวโดดเดี่ยวก็ตาม ไงก็ขอบคุณนะคะ จะอยู่ยืนแนบข้างขนานไปกับปอแบบนี้จนกว่าเส้นขนานจะมาบรรจบกันนะ คงคิดถึงปอน่าดู 2-3 วันนี้ ท่องไว้ เข้าใจ ๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆ

วันพุธที่ 3 พฤศจิกายน พ.ศ. 2553

เหมือนเป็นคนอื่น...ก็จริง

เหมือนเป็นเพียงสิ่งที่เธอคุ้นเคยแต่มองข้ามไป
ใจเปี่ยมด้วยรักและความห่วงใย ฉันนั้นให้ทุกอย่าง
อยากให้เธอได้เจอแต่วันที่ดี...

อะไรที่ทำให้เกิดความคาดหวัง อะไรที่ทำให้จิตใจเกินความร้อนรน
ก็เราเองทั้งนั้น เค้าไม่เคยสนใจแม้แต่น้อย ยังจะมานั่งอาลัยอาวรณ์
ชักจะเริ่มปลงกับความสัมพันธ์ครั้งนี้แล้วสินะ หรือว่าจะจบที่ใจเราเอง
มันจะเป็นหนทางที่ดีที่สุด หรือจะฝืนยิ้มต่อไปทั้งที่ใจด้านชา

เธอทำให้ฉันว้าวุ่นใจรู้ตัวรึป่าว คงนอนหลับปุ๋ยแล้วสินะ
ปล่อยเราเพ้อเจ้อต่อไปในค่ำคืนที่เย็นชาทั้งตัวและหัวใจ

วันจันทร์ที่ 1 พฤศจิกายน พ.ศ. 2553

เมื่อไรที่คิดจะเริ่มต้น...มันก็...

สัมพันธ์

อาจไม่ใช่ฉันที่เธอค้นหาไม่อยู่ในสายตา เธอไม่สนใจ

เมื่อวันนี้เป็นได้แค่เพียงเพื่อนคุยแก้เหงาในยามที่อากาศเหน็บหนาวเท่านี้ที่เค้าหรือเราต้องการกันแน่ ความสัมพันธ์แบบนี้ไม่คุ้นเคย ไม่รู้จริงๆว่าจะต้องอีกนานซักเท่าไร ไม่คุ้นชินกับความเชื่องช้าของความสัมพันธ์ เกลียดการรอคอย หรือเราจะเกิดภาวะบกพร่องทางความเข้าใจความสัมพันธ์ มันก็อาจเป็นแค่ช่วงสั้นๆ หวังว่าเธอคงจะทำให้อาการเหล่านี้จางหายไปบ้าง

ขอบคุณอีกครั้งที่ทำให้ความรู้สึกแบบนี้กลับมา.....นะคะ

วันอาทิตย์ที่ 31 ตุลาคม พ.ศ. 2553

ยอมยืนเหน็บหนาวข้างใจเธอ

การโกหกกันบ้างไรบ้างบางทีมันก็เป็นการไม่ทำร้ายจิตใจกันมากเกินไป รู้แล้วมันก็ทำให้หน้าด้านๆนี่ชาเป็นเหมือนกันนะ

รอวันที่เธอไม่มีใครเืผื่อเธอเห็นคนนอกใจที่รักเธอที่เฝ้ารออยู่ทุกวัน เผื่อเธอเห็นมันแหละรับฉันไว้ข้างในหัวใจเธอ

อยู่ในช่วงเวลาที่ต้องรอคอยเวลาและอะไรหลายๆอย่างให้มันเข้าที่เข้าทาง อดทนนะเว้ย

วันอังคารที่ 26 ตุลาคม พ.ศ. 2553

ถ้าไม่เร็วไปนัก อีกซักพัก อยากจะรัก อยากจะรู้จักเธอ...

วันนี้ไม่รู้เป็นอะไร จิตใจมันสูบฉีดเอาความกล้าหน้าด้านหายไปไหนหมดหลงเหลือแต่ความเขินอาย ซึ่งไม่น่าจะเกิดอาการแบบนี้กับคนหน้าด้านอย่างเราได้ แต่ก็ทำให้รู้สึกดีอีกครั้ง หลังจากจิตใจตายด้านกับความเขินอายในความรักมานาน

แต่มันคงจะเป็นเพียงเสียงที่ดังอย่างแผ่วเบาอยู่ข้างเดียว โอกาสน้อยนิดที่จะสมหวังแต่ทั้งที่รู้ก็ยังมีความสุขกับรูปแบบความสัมพันธ์ในแบบที่ปรึกษาและพี่ชายที่แสนดีต่อไป เพราะยังไงเราคงเข้าไปแทรกระหว่างกลางใจที่หนาแน่นไปด้วยความรักความผูกพันไม่ได้แต่ วันนี้ถามตัวเองว่ามีความสุขรึป่าว = มากกกกกกก โอเค จบ นอนซะมึง

เพราะจังวะ http://www.youtube.com/watch?v=8E0RZ0q8NI8&feature=related

วันจันทร์ที่ 25 ตุลาคม พ.ศ. 2553

๋๋Just Begin

ด้านสว่าง : ทำไม่ได้ๆทำไม่ได้จริงๆ ก็เธอยังมีเขา รู้ทั้งรู้ว่าเธอมีใครรู้ว่าเธอรักใคร...รู้ว่ารักเธอไปยังก็คงไม่มีหวัง รู้ก็รู้ว่าตอนจุดจบ รู้ว่าใจจะพัง ยังจะเอาหัวใจตัวเองแอบคิดมีเธฮ มันเริ่มต้นที่ตรงจุดจบ จบทั้งๆที่ยังไม่เริ่มที่จะได้รักเธอ

เป็นไรของมึงเนี่ย รู้หมดว่ามันจะเป็นยังไงก็ยังหน้าด้านนะมึงเนี่ย

บางทีสถานภาพและปัจจัยหลายๆอย่างคงไม่เอื้อที่จะทำแบบนี้กับใคร แต่ไม่รู้ทำไมมันต้องมาเป็นตอนนี้กับคนนี้ด้วยวะ ไม่ได้รู้สึกอยากจะจีบใครมานานมากแล้วนะ ดันเสือกจะไปจีบคนมีแฟนแล้ว

ด้านมืด : แหมทำอย่างกับมึงเป็นคนดีนักนะมึง เมียชาวบ้านมึงเอาไปกี่คนละสาดดด
ด้านสว่าง : เฮ้ยแต่คนนี้มันไม่เหมือนกัันนะเว้ย เค้ารักกับแฟนเค้าอยู่ดีๆ เหมือนกูหน้าด้านไงไม่รู้รู้สึกผิดจัง
ด้านมืด: มึงจะแคร์ไรวะมึงไม่ได้เอาแฟนเค้าซะหน่อย อย่าได้แคร์ ชีวิตแสนสั้น ทำไรก็รีบทำซะ ไปนอนไปมึงอ่ะคิดมากอยู่ได้ มันเพิ่งเริ่มต้นเว้ย ใส่เกียร์เดินหน้าต่อ

จบ

วันอาทิตย์ที่ 24 ตุลาคม พ.ศ. 2553

ไม่อยากทำให้ลำบากใจ

บางครั้งเวลาที่เรารู้สึกดีอยากจะรู้จักเริ่มต้นกับใครซักคน มันก็ทำให้จิตใจว้าวุ่น แต่ทั้งๆที่รู้อยู่ว่าเค้าคงไม่สนใจ เพราะจริงๆเค้าก็มีแฟนอยู่แล้วก็ยังไม่วายที่จะคิดเข้าข้าง การที่ต้องควบคุมความสัมพันธ์ให้ไม่มากไม่น้อยเกินไปนี่มันต้องซักเท่าไร ในเมื่อไม่มีfeedbackกลับมาแต่บางครั้งที่เราคุยกันก็เหมือนเธอพยายามจะบ่งบอกอะไรบางอย่างว่าเราก็คุยกันได้ คงเร็วเกินไปที่จะสรุปอะไรๆได้ เวลาจะเป็นผู้กำหนด

ปล.ต้องยอมรับเลยว่าคุยกับเธอแล้วทำให้คลายความเหงาจิตมจที่ห่อเหี่ยวกลับมากระชุ่มกระชวยอีกครั้งแต่ก็อย่างที่บอก เรามันคงเพ้อไปเอง เค้าคงแค่คน Friendly คนนึงที่ผ่านเข้ามาในชีวิตเรามั้ง ....

วันจันทร์ที่ 18 ตุลาคม พ.ศ. 2553

สักวันถ้าฉันล้มลงจะมีใครสนใจ

 อารมณ์เปลี่ยวกลางดึกที่เงียบงันนั่งฟังเพลงนี้คลอไปช่างดูโรคจิตแท้ๆชีวิตกรู
 
หนทาง ยังดูเหมือนเดิม มีแสงไฟ มีผู้คนรอบกาย
จาก คนร้อยพันที่ยืนใกล้กัน กลับรู้สึกว่าไกลแสนไกล
เมื่อไรมันหายไป จากหัวใจของเรา

ทำไมแค่ลมเพียงแผ่วเบา ยังทำให้เหน็บหนาว
แค่ เพียงแผ่นฟ้าที่ว่างเปล่ายังทำให้มีน้ำตา
ทำไมมันช่างเปราะบางเหลือเกิน อ่อนแอจนเกินจะเข้าใจ

ครั้งหนึ่งที่เคยสัมผัส ในหัวใจว่ารักยังเหลืออยู่
แต่วันนี้ดูเหมือนมันลบเลือน ก่อนที่ อบอุ่นจางหายไป
สักวันถ้าล้มลงจะมีใครสนใจ

ทำไมแค่ลมเพียงแผ่ว เบา ยังทำให้เหน็บหนาว
แค่เพียงแผ่นฟ้าที่ว่างเปล่ายังทำให้มีน้ำตา
ทำไม มันช่างเปราะบางเหลือเกิน

ร่องรอยจากคำไม่กี่คำยังทำให้ปวดร้าว
แค่ เพียงแววตาที่ว่างเปล่ายังทำให้เจ็บหัวใจ
ทำไมมันช่างเปราะบางเหลือเกิน และชีวิตเมื่อไรจะเข้มแข็งพอ

วิงวอนให้มันสิ้นสุดลง

วันพุธที่ 13 ตุลาคม พ.ศ. 2553

จันทร์เจ้าขา

          ช่วงยุ่งๆในชีวิตกลับเข้ามาอีกครั้งครั้งนี้ต้องตั้งใจกับสิ่งทีี่จะเกิดขึ้นให้มาก มันจะบอกถึงความเก๋าที่เราได้ประสบพบเจอมาถ้าผ่านจุดที่มีความหนาแน่นทั้ง งานประจำ การทำวิทยานิพนธ์อย่างเข้มข้นในขั้นสุดท้าย และต้องต่อสู้กับความเหงา กิเลสตัณหาที่อยู่รอบๆตัว ประคับประตองสิ่งที่จะหล่อหลอมตัวตนไปถึงอนาคตให้ได้ มีบทเพลงของวงที่เรารู้สึกชอบมั้นมาก คือ Slot machine ชื่อเพลงจันทร์เจ้าขา เป็น Single ใหม่ที่ความหมายดีมาก

"ในวันไหนที่ใจของเธออ่อนแรงล้า จันทร์เจ้าขาฉันวอนข้อความฝากบอกเธอ ก่อนหลับฝันให้มองพระจันทร์ดูดื่มความสัมพันธ์ที่ส่องกระทบเธอ"

"พระจันทร์ก็ยังอยู่ที่เดิม แค่มองไม่เห็นบางเวลา เหมือนคนที่บางทีไม่ได้เจอกัน แต่เค้าก็ยังอยู่ในใจเรา ...จันทร์เจ้า"

วันศุกร์ที่ 8 ตุลาคม พ.ศ. 2553

เบาๆ

ใจหนึ่งใจจะต้องการอะไร ให้มันมากมาย ให้มันวุ่นวาย

บางเวลาไม่เป็นไร...Chill out

เป็นช่วงที่ต้องพ้นผ่านงานและเรียนไปให้ได้จริงๆซักที แล้วค่อยกลับมาเป็นตัวของตัวเองอีกครั้ง

มันจะต้องผ่านไปได้ด้วยดี เรื่องอื่นเอาไว้ทีหลังนะคะ

วันพุธที่ 6 ตุลาคม พ.ศ. 2553

วังวน

บนทางเดินทางที่มันวกวน

กลับสู่วังวนแห่งสีดำอีกครั้ง เมื่อความมืดและตัณหามาบดบัง
ความสุขชั่วครั้งมาเบียดเบียด ทุกข์อีกนานแต่ยังไม่มาถึง

ต้องผ่าน October Sonata นี้ไปให้ได้หลายๆอย่างจะพิสูจน์คุณภาพคนคุณภาพสังคม 
แต่ความผิดที่ติดตัวอยู่นี้เมื่อไรจะสลัดมันหลุดออกไปได้ซักที หรือมันคือโชคชะตาที่กำหนด
ให้หนีไม่พ้นความเลวทรามของคนและสังคม สู้ต่อไปทาเคชิ


ในวันที่หัวใจว่างเปล่า แต่เคล้าไปด้วยโลกีย์แห่งตัณหาพรากความจริงความผิดมาอยู่ในความฝันที่สุขแท้ด้วยวิญญาณ 

ผมขอโทษแต่คนของพี่ก็ยังไม่ยอมเลิกกับผมจริงๆ ผิดมานานผิดหลายครั้งและยังคงผิดต่อไป

วันจันทร์ที่ 27 กันยายน พ.ศ. 2553

ให้โดยไม่หวังอะไรตอบแทน

ไม่ได้รู้สึกแบบนี้นานแล้วนะ การที่ทำอะไรให้คนอื่นโดยไม่หวังผลตอบแทนมันรู้สึกแปลกอยางประหลาด อิ่มเอมใจบอกไม่ถูก

ไม่เข้าใจทำไมต้องคอยเฝ้าติดตามข่าวคราวความเคลื่อนไหวของคนคนนึงอยู่ตลอดทั้งที่จบไปนานแล้ว มันคงต้องใช้เวลาอีกนานแค่ไหนเดินทางไปไกลแค่ไหน  พบเจอกับอะไรมากๆซักเท่าไรถึงจะลืม

หายใจลึกๆแล้วเริ่มใหม่ในวันฝนพรำ

วันเสาร์ที่ 25 กันยายน พ.ศ. 2553

จมอยู่กับตัวเอง

การได้มีเวลาอยู่คนเดียวบ้างก็เป็นอะไรที่ได้ทบทวนหาความสุขที่แท้จริง ถึงแม้จะไม่มีความรู้สึกรักกับใครอีกแล้วแต่มันก็มีความสุขได้ด้วยวิถีทางของมัน คงเป็นเพราะเราเกิดมาเพื่อที่จะอยู่และเรียนรู้อะไรๆด้วยตัวเองจริง กูรักมึงนะไอ้หยก ดีใจที่มีเพื่อนสนิทอย่างมึงว่ะ มีหลายสิ่งที่เปลี่ยนไปแต่มีอย่างนึงที่ไม่เปลี่ยนคือเพื่อนอย่างมึงยังเคียงข้างกู ซาบซึ้งใจจริงๆ จากนี้คงจะใช้เวลาอยู่กับเพื่อนที่แสนดีอย่างมึงเพื่อทำภาระต่างๆให้เสร็จสิ้น ซะที ดีใจอีกครั้งที่มีมึงอยู่เคียงข้าง

ทำงานๆๆเรียนๆๆมุ่งหน้าสู่อนาคตนะเพื่อน

วันอังคารที่ 14 กันยายน พ.ศ. 2553

ถวิลหา

ได้พบได้เจอหนังสือเล่มนึงที่มีหลากหลายแรงบันดาลใจ หลากหลายเรื่องราวของนักเขียนระดับตำนวนถึงขั้นเทพร้อยเรียงเรื่องราวเกือบสิบปีที่ผ่านมาตั้งแต่บางคนยังไม่เป็นที่รู้จักก็ทำให้ค้นพบว่ากว่าคนที่จะมาประสบความสำเร็จโลดเล่นอยู่ในวงการตามความฝันของแต่ละคนนั้นมันต้องถูกเคี่ยวกรำอย่างหนักและต้องรักด้วยใจที่ไม่มีข้อแม้ต่ออะไรทั้งสิ้น อยู่ครึ่งๆกลางๆระหว่างความฝันกับความจริง เพียงก้าวผ่านมาหนึ่งก้าววันวานก็ผ่านมาเสียแล้ว สิ่งที่ทุกคนถวิลหา ก็คือความสุขในอดีตที่ผ่านเรามาแล้วผ่านไปอย่างสายลมจริงๆ ทุกคนที่ผ่านทุกเรื่องราวไม่มีใครจดจำแต่ก็ไม่ลืมเมื่อต้องการเสพความรู้สึกกับสิ่งที่เรียกว่าเรื่องราวในอดีตไม่ว่าดีหรือร้ายเราก็ต่างเคยถวิลหามัน

ถวิลหาหนังสือดีๆอีกเล่มที่ผ่านเข้ามาในชีวิต 
แล้วตอนนี้สิ่งใดเล่าที่เราถวิลหากัน

วันจันทร์ที่ 6 กันยายน พ.ศ. 2553

กลับสู่วังวนเดิมๆ

เธอจะเห็นฉันไหม...รักของฉันนั้นมีอยู่เป็นร้อยเป็นพัน

นี่เดือนกันยาแล้วสินะ อะไรๆก็ผ่านพ้นไปอย่างรวดเร็วจนแทบจะตั้งตัวไม่ติด ยังมีอีกหลายอย่างที่คั่งค้าง
ทั้งงาน ทั้งเรื่องเรียน แต่มันกำลังจะก้าวไปสู่ความมั่นคงและความสำเร็จ อีกนิดเดียวเท่านั้น
ทำไมถึงเสพติดความเหงาบำบัดด้วยสิ่งมึนเมา เคล้าเสียงดนตรี เมื่อไรจะหลุดจากวงจรแบบนี้ซักทีนะ

วนิดาทำไมน่ารักจัง เฮ้อ

วันอาทิตย์ที่ 29 สิงหาคม พ.ศ. 2553

วันเกิดฉันทำไมมันจึงไม่มีใครจำ

เป็นวันเกิดที่แปลกๆอีกปี ไม่อยากมีไม่อยากได้อะไร เฉยๆ เรื่อยๆ นั่งกินเหล้าคนเดียวกับแสงสีในวอร์ม อัพ ยังดีที่มีน้องออมและเพื่อนฝูงบ้างนิดหน่อยทำให้คลายความเหงาลงบ้าง ประสบการณ์การนอนบนเก้าอี้ในอาเขตเพื่อรอรถไปเชียงรายรุ่งเช้า เหมือนคนเร่ร่อนนะมึงเนี่ย 555 เมาชิบหาย


ตวามมืดในชีวิตก็กลับมาอีกครั้งกับเรื่องราวเดิมของความใคร่ที่ไม่มีใครปฎิเสธความอยากเหล่านี้ แต่ชีวิตก็ต้องดำเนินต่อไป ขอโทษหญิงสาวที่ต้องมาเกี่ยวพันกับชายไร้ซึ่งความรักและความผูกพัน แต่มันก็เป็นความพึงพอใจของเราที่จะทำแบบนี้ ไม่ได้มีเจตนาให้เธอเหล่านี้ต้องเสียใจไปกับสิ่งที่มักง่าย

ชีวิตผมมีแต่ดำกับขาวไม่มีสีเทา จริงๆ

วันอังคารที่ 24 สิงหาคม พ.ศ. 2553

ก้าวต่อไป

วันนี้ได้รับข่าวดีที่thesisเริ่มเดินหน้าซักทีหลังจากแม่งหยุกชะงักไปหลายเดือนเสียเวลาชิบ เสาร์นี้ก็ต้องไปจัดการเคลียร์ให้เรียบร้อย

กอปรกับข่าวจาก กทม เรื่องตั๋วหนังสองใบ กับอัมพวา เมื่อเสาร์ที่ผ่านมา รู้ว่าเธอกำลังดูๆกันอยู่กับคนที่ดีๆซักคน ขอให้เธอไปดีขอให้มีความสุข ขอให้เธอหมดทุกข์เสียที ขอให้รักยืนยาวให้เธอกับเขาโชคดีอย่าได้มีใครอีกเลยต้องเจ็บช้ำ เฮ้อ

วันที่หัวใจว่างเปล่า ไม่มีเธอเหมือนเก่าไม่มีเธออีกต่อไป 
วันนี้ช่างแตกต่างอย่างสิ้นเชิงกับวันเดิมในรอบหลายปี
ไม่มีใครให้รักและไม่มีใครรักเกือบ 3 เดือนแล้วนะ ตลกดีเหมือนกัน
มองข้ามช็อตไปแล้วก็ไม่อยากจะคบใครจริงจังแล้ว เพราะมันรู้จุดเริ่มและจุดจบไปซะหมด ไร้แรงจูงใจจะกลับไปมีหัวใจเต้นแรงเมื่อเจอหน้าใครซักคน คงอีกนานกว่าความรู้สึกนี้จะจางหายไป หลับตาเถอะนะขอให้เธอหลับฝันดี


อยากให้คนไทยมีความสุขทุกๆวันนะ
 

วันพฤหัสบดีที่ 19 สิงหาคม พ.ศ. 2553

จุดต่ำสุด กับจุดเริ่มต้นที่ซ้ำซาก

ใครไม่เคยตก ใครไม่เคยเจ็บ ใครไม่เคยเริ่มต้น ก็ไม่รู้ว่าอารมณ์ความรู้สึกนั้นเป็นอย่างไร การที่เราต้องเริ่มต้นสิ่งเดิมๆซ้ำซ้ำซากซากมันไม่ได้เป็นสิ่งแปลกใหม่แต่อย่างใดแต่มันได้บ่งบอกถึงความผิดพลาดในการใช้ชีวิต เรียกง่ายๆว่าเจ็บไม่จำ คงต้องให้เวลาที่มากกว่าคนอื่นเพื่อที่จะเรียนรู้ไปกับมัน 

เวลาที่ไม่เคยพอสำหรับคนล้าหลังทางอารมณ์
คนเราเสียเวลาไปกับการทำงานเกือบค่อนชีวิต แต่ถ้าไม่ทำงานก็จะขัดแย้งกับกระแสสังคมที่เน้นวัตถุนิยมอย่างทุกวันนี้ ดังนั้นเราจึงต้องแสวงหางานที่เป็นตัวของเรามากที่สุดเพราะเราจะได้ใช้เวลาเกือบค่อนชีวิตอย่างมีความสุข เวลาให้กับสิ่งฉาบฉวยนั้นเราให้กับมันได้มากกว่าเวลาที่จะต่อเติมความมั่นคงให้กับชีวิตแต่เราๆกลับไม่ทำไม่คำนึง

เวลาที่ไม่เคยพอของชายในเงาจันทร์

วันอาทิตย์ที่ 15 สิงหาคม พ.ศ. 2553

เริ่มต้นกับการทำงานและงาน และงานใหญ่ๆอีกหลายอย่างที่ต้องทำให้แล้วเสร็จในเวลาอันใกล้เพราะทุกวันที่ผ่านไปมันคือเวลาที่สูญเสียไปกับสิ่งที่เรียกว่าอุปสรรคด้านมิติเวลาที่คอยฉุดรั้งความสำเร็จในชีวิต เราต้องทะลุมิติกำแพงเวลาเหล่านี้ไปให้ได้รวบรวมสรรพกำลังต่างๆยกเว้นกิจกรรมที่บั่นทอน เป้าหมาย รายล้อมด้วยบรรยากาศที่ฝักใฝ่ในการงาน จึงจะทำให้วิกฤตนี้ผ่านไปได้
1. คีย์ข้อมูล ทำบทที่4-5 วิทยานิพนธ์ให้เสร็จ
2. ทำงานที่เป็นกิจวัตรให้ผ่านไปอย่างดี
3. พักเรื่องรักเรื่องรกเรื่องราวในใจไว้ก่อนให้ได้

ภารกิจหลักที่เร่งด่วนยิ่งกว่าภารกิจใดๆของรัฐบาล

วันพฤหัสบดีที่ 12 สิงหาคม พ.ศ. 2553

วันแม่แห่งชาติ

วันที่ได้กลับมาสู่อ้อมกอดของแม่ วันที่พักเรื่องราวโลกีย์ในชีวิต กลับมาสนใจครอบครัวที่ผุพัง แต่วันนี้ก็เป็นวันที่มีความสุขอย่างเรียบเรียบ แม้ไม่มีสาวๆเข้ามาพัวพัน แต่ก็ได้รับบรรยากาศแห่งความอบอุ่นที่โหยหา วิเศษดีแท้ กินกับข้าวฝีมือแม่ ได้นอนหลับพักผ่อนอย่างไร้ความกังวล ถึงแม้จะโทรหา สาวๆขาประจำไม่ติด แต่ก็ไม่ได้ทำให้เราหงุดหงิดงุ่นง่าน จนลืมสัญญาณแห่งชีพที่แท้จริง

ผ่อนพักตระหนักรู้ในวันเบาๆ ชิว พรุ่งนี้ค่อยลืมตาเข้าสู่โหมดแห่งความหวือหวาในโลกโลกีย์สีดำกันต่อไป

วันจันทร์ที่ 9 สิงหาคม พ.ศ. 2553

วันที่ฉันกลัว

มีชีวิตเพื่ออะไร มันหมดความหมายเมื่อไร้เธอ

ชีวิตแต่ละวันไม่ง่ายเลยที่จะฟันฝ่ามันไป สิ่งที่คิดวางแผนไว้ต้องเผื่อ error ตลอดเวลา มันมีความคลาดเคลื่อนที่เป็นมาตรฐานอยู่ตลอด เมื่อมาเจอกับความผิดหวังซ้ำซากบางครั้งก็ยากจะทำใจแต่มันต้องไปต่อ เพราะชีวิตเราเกิดมาเพื่อที่จะต่อสู้เรียนรู้กับความเจ็บปวด ในวันที่จิตใจต้องเผชิญกับความรู้สึกแบบนี้ไร้รักไร้ความรู้สึกที่จริงใจมันอ้างว้างอย่างบอกไม่ถูก คงเป็นกรรมที่ต้องชดใช้ในเวลาอันรวดเร็ว มันก็เป็นแบบนี้ชีวิตที่ต้องไปต่อโดยลำพังกับชีวิตที่ผุพัง เสเพล เมื่อไรจะพบแสงสว่างปลายอุโมงค์อย่างแท้จริงซักที

วันศุกร์ที่ 6 สิงหาคม พ.ศ. 2553

My misery

คืนนี้ไม่รู้เป็นอะไรอยู่ดีๆ อยากมองที่ดวงดาว...จริงไหมเรื่องที่เคยได้ยินเกี่ยวกับดาวอยากรู้ว่าจริงไม่จริง

วันนี้เป็นวันที่ไม่ได้กลับเชียงราย เพราะเกิดเหตุเรื่องที่ คณะครุ แม่งยังไม่ได้ให้คณะบดีบัณฑิตเซ็นต์กูละเซ็งเพราะมึงไม่เซ็นต์ ไปอินโดคะยังไม่กลับมาเซ็นต์ให้คงอาทิตย์หน้านะคะ กูรอมา3อาทิตย์ละ ชาวบ้านชาวช่องเค้าไปถึงดาวอังคารกันละแม่ง ยังไม่ถึงไหนเลยแล้วเมื่อไรกูจะจบวะเนี่ย แต่วันพรุ่งนี้จะไปส่ง เอกสาร EMS ให้ผู้เชี่ยวชาญ 2 ท่าน ที่ ม เกษตร กะ ราชภัฎพิบูลสงคราม คงทำให้งานคืบหน้าไปได้บ้างแต่ต้องมารอเรื่องที่ตามไปนี้ดิมันเซ็งจิตจริงๆ จนชาวบ้านเค้ารัน วิเคราะห์กานหมดละกรูยังได้แบบสอบถามไม่ครบเล๊ย เฮ้อ

คืนนี้มีโทรสับมาชวนกูยิกเลยน้า ร้านโต่งนี่พี่ไปจนร้องได้ทุกเพลงละ 2 วงที่มันขึ้นเล่นอ่ะ ตังอยู่ในร้านนั้นหลายหมื่นแล้วมั้ง น้องเพิ่งมาชวนพี่ไปเหรอน้องฟ้า เหอๆๆ เหนื่อยอ่ะนะเดวต้องเตรียมเล่นดนตรีวันเสาร์ด้วยเลยไม่อยากไป เที่ยวกานให้สนุกนะคะน้องๆ

การได้ไปหาเวที ออดิชั่นให้สนอง Need ตัวเองนี่ก็ดีเหมือนกานจะได้ทำสิ่งที่เราชอบแถมได้แหลกเหล้าฟรีอีก ชอบเจงๆ เหอๆๆ ต้องขอบคุณคุณพี่สมจิตร อาร์ตตัวแม่ที่เปิดโอกาสให้Duoคู่ใหม่ได้แจ้งเกิด
ใครว่างก็เชิญชวนนะครับที่ร้านสุดสะแนน แถวสุกี้โคคา ศรีธนาพาณิช เชียงใหม่รินคำ ทุ่มนึงเป็นต้นไป
หลับก่อนน้าวันนี้ง่วงจริงปิดเสียงโทรสับ รำคาญ ใครอยากเที่ยวก็เชิญกรูเบื่อแล้ว....

ปล.ถ้าสาวงามๆมีเหตุจูงใจให้ไปก็ว่าไปอย่าง555

วันพฤหัสบดีที่ 5 สิงหาคม พ.ศ. 2553

หนุ่มน้อยกระจกเงา ตอนที่1/2

วันใหม่แห่งการเริ่มต้นที่ ขุ่นมัวไปด้วยสายฝนพรำ กับการทำงานที่เริ่มต้นอีกครั้งอย่างจำเจ
แต่เต็มเปี่ยมไปด้วยความหวังและเจือปนความหลังที่เดียวดาย ทุกอย่างคงดำเนินไปตามรอบและวัฏจักรที่คุ้นชิน
เย้นวันนี้ได้มีโอกาสพบปะพูดคุย แชร์ประสบการณ์ในเรื่องราวที่หลายหลายต่างมุมมองของเด็กหนุ่มน้อยอีก2 คนที่มีอุดมการณ์
และความหวัง ความสดที่มีพลัง 2 ฟากฝั่งที่ขบคิดแลกเปลี่ยนไปมาเหมือนสายฝนที่กระหน่ำในช่วงเย็น กับร้านเพิงเล็กๆริมทาง
ที่อบอวลไปด้วยถ้อยคำสนทนาและเสียงเพลงคลอแผ่วเบา ชิิวๆ กรรมการมวยที่กำลังชงประเด็นและห้ามปรามแทรกในหลายประเด็นที่ 2 หนุ่มต่างพูดคุยถึงสิ่งต่างๆรอบตัวที่พบเจอทั้งในการเรียนและการทำงานที่ผ่านมาอย่างออกรส ทำให้ได้เรียนรู้สิ่งละอันหลายอย่างในสายงานช่างที่สองฟากของโต๊ะกำลังถ่ายทอดเสียงและท่าทางกันอย่างเมามันในอารมณ์และในรสชาติของเบียร์

เหมือนหนุ่มน้อยกระจกเงาได้กระโดดขึ้นมาจากอ่างปลาที่หลายๆตัวในอ่างว่ายวน จนหาหนทางไม่เจอสับสนและค้นหาว่าแท้จริงแล้วต่างต้องการสิ่งใด เด็กหนุ่ม 2 คน ก็มีแนวคิดที่ใช้ได้ในแง่มุมที่ต่างไปกับขีดจำกัดที่ตนเองสร้างขึ้นแต่อย่าลืมว่าโลกใบใหญ่นี้ยังมีสิ่งต่างๆที่เป็นปัจจัยในการทำความฝันให้สำเร็จอีกหลายขั้น จงเรียนรู้ที่จะยอมรับและเปิดใจกับสิ่งที่จะทดสอบเราในแต่ละช่วงเวลาเชื่อว่า น่าจะทำให้เข้าใกล้ฝั่งฝันเข้าซักวัน ขอยืมคำของโฆษณาชิ้นหนึ่งของสิงห์มาให้กับเด็กหนุ่มทั้ง2"ตีลูกให้ไกลถึงดวงจันทร์ ถึงพลาดพลั้งก็ยังอยู่ท่ามกลางดวงดาว"

ค่ำคืนนี้ก็จบลงไปอีก 1 วันที่เมามายไปด้วยถ้อยคำ ความฝันใฝ่ แรงบัลดาลใจ และรสของข้าวบาร์เล่ย์ที่หอมกรุ่น
หลับลงได้แล้ว อ่าวเป็นต่อออกแล้ว เจ๊มิ้นจะท้องป่าววะเนี่ย นั่งดูได้ซักตอนก็เผลอหลับไป ครอกZZZzzzzzz

วันพุธที่ 4 สิงหาคม พ.ศ. 2553

หนุ่มน้อยกระจกเงา ตอนที่1

ความรักความหวังทั้งหมดที่พยายามรวบรวมทั้งความรู้สึกความไว้ใจความเสียใจต่างๆได้เกิดขึินเหมือนภาพซ้ำที่ฉายผ่านสายตาพร้อมๆไปกับผู้หญิงมากมายที่ผ่านเข้ามาในช่วงเวลาต่อจากวันนั้นที่เด็กชายกระจกเงาพยายามลืมสิ่งที่เมื่อย้อนไปแล้วปรากฏร่องรอยความผิดพลาดที่เกิดจากความไม่พอของตัวเองทั้งนั้นการไม่สามารถที่จะร้องทุกข์กล่าวโทษต่อฟ้าดินหรือเหล่าเทวดาหน้าอินทร์หน้าพรหมที่ไหน
จะออ้นวอนทั้ง 16 ชั้นฟ้า 15 ชั้นดิน 18 บาดาล ก็คงไม่มีเทพเจ้าองค์ใดมายกโทษให้และทำให้ทุกอย่างกลับมาเป็นเหมือนเดิม เมื่อทบทวนดูอีกทีชีวิตคงสนุกเกินไปกับสิ่งที่ได้กระทำไปทุกอย่าง ถ้าไล่เพลงเพลงนึงของน้องกระแตที่มี ญ สาวชื่อน่ารักๆมากมาย หนุ่มน้อยกระจกเงาแทบจะกวาดเรียบ เดวแคท เดวแตง ทั้ง จุ๊บ ทั้งแจง หน่อย ติ๊ก + เดวเปิ้ล เดวดา ทั้งตุ๊กตา ไก่ นิด รู้ไหมว่ามีกี่กิ๊กที่ยัง บ่ เปิดเผย เฮ้อ ตัดพ้อตัวเองถึงความบัดซบที่เกิดขึ้นกับชีวิตเสเพล นั่งเหม่ออยู่ในภวังค์ของอารมณ์ ในแมนชั่นเล็กๆ ที่ไร้ความอบอุ่น
วันนี้กำลังผ่านไปอีกวันแล้วซินะที่ต้องอยู่อย่างโดดเดี่ยว (ข่าว 3 มิติ เจาะลึกจังหวัดที่ 77 คือจังหวัดบึงกาฬ แยกตัวออกจากหนองคาย จบข่าว) เปิดทีวีดูข่าวเพื่อผ่อนคลายความเหนื่อยล้า ความเหงา เมื่อสายฝน คนเหงามาพบกัน ความเหนื่อยล้าเข้ามาปกคลุมจากการงานและสิ่งต่างๆที่ยังคงค้างคาในชีวิต ก็ทำให้หนุ่มน้อยพล้อยหลับไปท่ามกลางเสียงฝนกระหน่ำ สะท้อนผิวซีเมนต์ นี่คงเป็นเสียงที่เคยคิดฝันไว้ใช่ไหม ถามใจตัวเองก่อนจิตใต้สำนึกจะเผลอเรียกตัวเองในนิมิตอันยาวนาน Zzzzzz to be continue

เด็กชายกระจกเงา ตอนที่ 3

หลังจากผมเรียนจบในเดือน มีนาคม ปี 49 ผมก็คิดอะไรไม่ออกไม่ได้มีแผนอะไรเลยแต่ได้
เกริ่นกับแม่ไว้บ้างแล้วว่าจะมาอยู่ด้วยแต่ใจจริงก็อยากไปทำงานที่ กทม. กับเพื่อนๆโดยได้มีโอกาสไปสัมภาษณ์งานที่บริษัท มินิแบร์ ในตำแหน่งนักวิเคราะห์ข้อมูลซึ่งมีรุ่นพี่ที่จบสถิติทำงานอยู่ แต่จนแล้วจนรอดผมก็ไม่ได้ไปทำงานที่บริษัทนี้เพราะเหตุปัจจัยทางด้านครอบครัวก็คือที่เชียงราย ตาป่วยหนักแม่ก็ดูแลไม่ไหวอยากให้ผมมาอยู่ด้วยกันปรากฏว่าผมก็ไปโรงเรียนกับแม่ที่ อำเภอเวียงชัยอยู่ 2 อาทิตย์ด้วยความบังเอิญผมเล่นอินเทอร์เน็ต ก็ไปเห็นที่โรงเรียนวิรุณบริหารธุรกิจและเทคโนโลยีเชียงรายรับสมัครครูสอนคณิตศาสตร์ในตอนนั้นผมไม่มีความคิดอยู่ในหัวเลยว่าจะมาเป็นครูสอนหนังสือเพราะเห็นแม่เป็นครูไปโรงเรียนกับแม่ตั้งแต่เล็กจนโตรู้สึกว่ามันเป็นอาชีพที่เหนื่อยและต้องเสียสละทุ่มเทอย่างมาก แต่แม่ก็ลองให้ไปสมัครดูเพราะอยู่เฉยๆเดี๋ยวจะลืมเรื่องที่เรียนมา จากนั้นวันรุ่งขึ้นผมจึงไปสมัครเค้ารับคนเดียวจากครูคณิตศาสตร์ 10 คน ผมก็สอบไปงั้นๆอาทิตย์ต่อมาก็ประกาศผลว่ารับผมผมจึงได้เริ่มงานในเดือนเมษาทันที เรียกได้ว่าจบมาไม่ถึงเดือนก็ได้ทำงานเป็นครูสอนวิชาคณิตศาสตร์และสถิติ อยู่ที่นี่ผมได้เรียนรู้การทำงานในสถานศึกษาในรูปแบบอาชีวะเอกชน ที่ผู้บริหารมีแนวคิดต่างออกไป ได้เรียนรู้งาน เพื่อนร่วมงานที่หลากหลายประสบการณ์การทำงานจริง การถ่ายทอดความรู้ให้เด็กนักเรียนนักศึกษาแรกๆก็อาศัยครูพักลักจำเอา แต่ระยะหลังก็เริ่มเรียนรู้จากการถามครูที่อยู่เดิมและกลับมาถามแม่บ้างแต่ก็มีอีกหลายเรื่องที่ยังไม่รู้เกี่ยวกับวิชาชีพครูแม่จึงแนะนำให้ไปเรียนวิชาชีพครูเพิ่มที่มหาวิทยาลัยราชภัฎเชียงรายในวันเสาร์และอาทิตย์ใช้เวลา 1 ปีก็เรียนจบได้ใบประกอบวิชาชีพครู ได้เรียนรู้หลักการจรรยาบรรณของความเป็นครูที่ไม่เคยรู้มาก่อนก็ทำให้มีจิตใจที่กว้างและเสียสละมากขึ้นใช้วิชาความรู้ที่ได้เรียนมามาปรับใช้ในการสอนทุกๆสัปดาห์เพราะเรียนวันหยุดพอวันสอนก็แอบเอาเทคนิคจากอาจารย์ที่สอนไปใช้กับนักเรียนที่โรงเรียน ได้เปิดโลกแห่งความเป็นครูเพราะได้รู้จักกับคนที่มีอาชีพเดียวกันมาเรียนในชั้นเดียวกันมีกิจกรรมร่วมกันมากมายจนมีเพื่อนกลุ่มใหญ่ที่ออกแนวสูงวัยเล็กน้อยถึงปานกลางทำให้ผมเริ่มรู้จักครูทั้งในเชียงรายและจังหวัดใกล้เคียงก็นับเป็นประสบการณ์ที่ดีและมีเจตคติที่ดีต่อวิชาชีพครูมากขึ้น จนผมเรียนจบวิชาชีพครูก็รู้สึกว่าอยากเรียนต่อเพราะเพื่อนๆหลายคนในเอกก็ไปเรียนต่อสถิติประยุกต์บ้าง ไอทีบ้าง จึงปรึกษาแม่และพี่สาวว่าอยากเรียนต่อพอจะไหวรึเปล่า พอดีช่วงก่อนหน้านี้พี่สาวก็แต่งงานและย้ายไปเรียนและทำงานอยู่ที่ต่างประเทศก็พอจะส่งผมเรียนต่อไหวผมจึงมองหาที่เรียนผมจึงเริ่มดูแนวที่ใกล้กับผมที่สุดก่อนคือสถิติประยุกต์ที่ ม.ช. ปรากฏว่าเปิดแต่ภาคปกติ นั่นหมายถึงผมต้องลาออกเพื่อไปเรียนต่อทั้งที่ทำงานได้ปีเดียวก็เสียดายงานและประสบการณ์และอีกประเด็นเพื่อนบอกว่ามันค่อนข้างยากเพราะผมก็ไม่แม่นเรื่องสถิติเท่าไหร่ถ้าเปรียบเทียบกับเพื่อนๆที่กำลังเรียนอยู่ที่ ม.ช.จึงหันมาดูที่เป็นภาคพิเศษเรียนวันเสาร์และอาทิตย์ก็มีที่ ม.น.พะเยาเป็นเอกไอทีสารสนเทศแต่พอเข้าไปดูหลักสูตรมีแต่การเขียนโปรแกรมเป็นพื้นฐานซึ่งผมก็เป็นไม้เบื่อไม้เมากับการเขียนโปรแกรมมาตลอดเพราะผมจะถนัดเป็น User ที่ดีมากกว่าจึงมามองที่มหาวิทยาลัยราชภัฎเชียงรายเพราะใกล้บ้านและติดใจในบรรยากาศตั้งแต่เรียนวิชาชีพครูจึงดูว่าพอมีคณะไรเอกอะไรบ้างที่ตรงและใกล้เคียงกับหัวสมองอันน้อยนิดของผมปรากฏว่าก็มาลงเอยที่คณะครุศาสตร์สาขาวิจัยและประเมินผลการศึกษาเพราะผมได้กลิ่นอายของสถิติโชยมาผมจึงเลือกเรียนและก็ไม่ผิดหวังผมได้รับความรู้ประสบการณ์ที่ดีได้รู้จักข้าราชการครูจากหลายแหล่งหลายพื้นที่บางท่านก็เป็นรุ่นพี่เพื่อนแม่บ้างเป็นระดับผู้บริหารบ้าง การเรียนก็เป็นวิชาที่ผมเคยเรียนมาบ้างในสมัยป.ตรีจึงไม่ต้องปรับตัวมากเท่าไรจึงรู้สึกมีความสุขตลอดในการมาเรียนวันเสาร์และอาทิตย์ ในช่วงนี้เองผมก็ได้พบกับรักครั้งล่าสุดหลังจากที่ทำตัวเพลย์บอยเสเพลมาระยะหนึ่ง เธอเป็นคนที่มีจิตใจดี คุยกันรู้เรื่องแบบว่าโตๆกันแล้วจึงเข้าใจอะไรๆกันได้รวดเร็ว แล้วก็คุยกันแบบเปิดเผยทำให้เรารู้สึกดีต่อกันสนิทใจเราจึงคบกันมาเรื่อยๆจนเข้าสู่ปีที่สองแล้วแต่นานๆเราจะเจอกันเพราเธอทำงานอยู่ที่ กทม เราจึงเจอกันเดือนละครั้งสองครั้ง ระหว่างทางที่ไกลกันก็มีเรื่องที่มาทดสอบเราตลอดเวลานั่นก็หมายถึงเรื่องผู้หญิงนั่นเองที่เข้ามาทดสอบผมจนเรามีปัญหากันหลายครั้งจนครั้งล่าสุดที่ร้ายแรงที่สุดเพราะมันเกิดขึ้นตอนที่ผมบวชพอดีซึ่งเกือบจะทำให้เราต้องเลิกกันเพราะความไม่รู้จักพอของผมเอง แต่เธอก็ให้อภัยผม หลังจากนั้นมาผมก็รู้สึกว่าทำผิดกับคนที่เรารักและรักเรามากจึงไม่อยากทำให้เราต้องมีปัญหากันอีกจึงลดละเลิกพฤติกรรมเสี่ยงทั้งหลายตั้งใจเรียนตั้งใจทำงาน ให้ดีที่สุดต่างคนต่างทำหน้าที่กันไปไม่ได้คาดหวังว่าเราต้องมาอยู่ด้วยกันในระยะเวลาอันใกล้เพราะผมก็ยังต้องมีอะไรที่อยากทำอีกมากอยากจะเรียนต่อถ้ามีโอกาสตอนนี้ผมก็ทำงานและเรียนในปัจจุบันให้ดีที่สุดส่วนเรื่องอนาคตก็เริ่มคิดไว้บ้างแต่ก็ไม่จำเป็นต้องตายตัวผมอยากไปเรียนต่อในมหาวิยาลัยเชียงใหม่ในสาขาวิจัยการศึกษา แต่ก็รู้ว่ามันเป็นเรื่องยากมากเพราะผมจะต้องทุ่มเทอ่านหนังสือสอบทำวิทยานิพนธ์และเกรดให้ดีเพื่อโอกาสในการเรียนต่อแต่ผมก็โชคดีกว่าหลายๆคนที่ไม่ได้มีพันธะอะไรในเรื่องครอบครัว เรื่องหนี้สิน หรือเรื่องที่ต้องรับผิดชอบอะไร และยังมีแม่และพี่สาวหนุนหลังอยู่ ผมจึงน่าจะมีโอกาสในการเรียนต่อให้สูงที่สุดอย่างที่ตั้งใจไว้ ส่วนการทำงานที่วีแบคก็เข้าสู่ปีที่4 ซึ่ง ก็เริ่มอิ่มตัวเพราะต้องยอมรับว่าที่แห่งนี้เป็นที่ที่เป็นเพียงแหล่งพักพิงเติมเต็มประสบการณ์แต่ไม่ใช่ที่ที่จะหาความก้าวหน้าที่ยั่งยืน เพราะทุกๆเทอมจะมีครูเก่าลาออกและครูใหม่เข้ามาหมุนเวียนอยู่ในที่แห่งนี้ปีแล้วปีเล่ารุ่นแล้วรุ่นเล่า ผมก็คงเป็นอีกคนที่จะเริ่มนับถอยหลังถึงวันลาจาก เพื่อไปหาสิ่งที่ท้าทายและตามความฝันของตัวเอง ชีวิตผมค่อนข้างผ่านอะไรๆมาเยอะเรียกว่า “เจ็บมาเย๊อะ” เหมือนที่สมจิตร จงจอหอบอกไว้จึงมีความคิดความอ่านที่ค่อนข้างชัดเจน มองอะไรๆขาดและมักพาตัวเองไปอยู่ในจุดที่ได้เปรียบก่อนใครๆเสมอแต่ก็ไม่ได้ออกแนวเห็นแก่ตัวเพราะผมรู้ดีว่าทุกสิ่งทุกอย่างก็เป็นเช่นนั้นเอง ยิ่งเอาตัวเข้าไปผูกติดกับปัญหาไม่ลดราวาศอกก็มีแต่จะบั่นทอนชีวิตที่สวยงาม การมาเรียนปริญญาโทนอกจากจะได้ความรู้ได้ยกระดับตัวเองแล้วผมยังได้แนวคิดในการใช้ชีวิตอีกมากมายจากการเรียนการร่วมกิจกรรมต่างๆของสาขา ทำให้มองอะไรๆกว้างขึ้น รู้จักผ่อนสั้นผ่อนยาว เติมเต็มในสิ่งที่ขาดอย่างมีสติ รู้จักรักในสิ่งรอบรอบตัว ใช้ชีวิตอย่างกว้างขวางมากกว่าจะใช้ชีวิตแบบเชิงลึก เพราะจะทำให้เราได้ประสบการณ์ดีผ่านเข้ามาทุกวินาทีที่เราหายใจ สิ่งที่ผ่านเข้ามาในชีวิตคือสิ่งที่ทำให้เราเข้มแข็งไม่ว่าจะเป็นสิ่งที่ดีหรือร้าย เพราะฉะนั้นอย่าลืมสิ่งที่หล่อหลอมให้เราเป็นอยู่แบบทุกวันนี้ ถึงตรงนี้ทำให้ผมนึกถึงเนื้อเพลงของวง Slot machine ชื่อเพลงผ่าน ซึ่งมีเนื้อหาที่ดีสอนสิ่งต่างๆให้ผมมากมาย โดยเนื้อหาเพลงมีดังนี้
ไม่ว่าเจอสิ่งใด เนิ่นนานไปก็แปรเปลี่ยน สักวันเคยวิ่งตามความฝัน แต่บางครั้งก็ต้องหยุด แค่นั้นเมื่อก่อนเคยรัก เคยผูกพันแต่มาวันนี้มันเป็นเพียง คนเคยได้รู้จักกัน
วันนี้มีสุขใจ แต่ต่อไปสักวันคงวุ่นวายหากความทุกข์ทนจางหาย อาจมองเห็นความสุข อีกครั้ง
จึงทำให้ฉัน ได้เข้าใจ ทุกสิ่งเปลี่ยนผันสักเท่าไรฉันจะก้าวเดินต่อไป
อย่าลืมเรื่องราวที่ผ่านที่เคยได้เจ็บช้ำยังมีเรื่องราวที่ดีที่เคยได้จดจำเก็บคืนและวันที่ผ่านที่เคยได้ปวดร้าว ยังมีเรื่องราวที่ดีที่รอให้จดจำ
ถึงตอนนี้ชีวิตผมก็เหมือนกับเรือลำเล็กๆที่ล่องลอยอยู่ในท้องทะเลกว้างใหญ่ มีเพียงผมอยู่ท่ามกลางทะเลนั่นเพียงลำพังก็หมายถึงผมอยู่ระหว่างสิ่งต่างๆทั้งครอบครัวของพ่อ ครอบครัวของแม่ (แม่ผมแต่งงานใหม่ได้4 ปี) และครอบครัวของพี่สาว ผมจึงเรียนรู้สิ่งต่างๆตามสัญชาตญาณของตนเอง ก็ไม่รู้ว่าอนาคตจะเป็นแบบที่คิดไว้หรือไม่ผมก็อยากจะทำให้ตัวเองพร้อมที่สุดทั้งด้านชีวิต การศึกษา แนวคิด เศรษฐานะ เพื่อใครซักคนที่จะมาเติมเต็มชีวิตที่แตกหักผุพังของผมให้สมบูรณ์ในมิติหลายๆด้าน แต่ก็ไม่รู้ว่าจะใช่คนๆนี้รึเปล่า ผมคิดว่าสิ่งที่ผมเป็นอยู่ทุกวันนี้มันดีในระดับนึงแต่ก็ไม่รู้ว่าจะมีอะไรมาเปลี่ยนแปลงชีวิตผมอีกรึเปล่า การเข้าใจชีวิตของผมอาจจะอยู่ในระดับดีแต่สิ่งที่มาท้าทายก็คือ สภาพแวดล้อมผู้คน สิ่งที่ไร้เหตุผลนั่นคืออารมณ์ จะทำให้ชีวิตผมอาจต้องสะดุดหกล้มอีกหลายครั้ง แต่นั้นผมก็พร้อมที่จะเผชิญ และเฝ้ารอมันอย่างไม่ประมาท ท้ายสุดก็คงต้องปล่อยให้มันเป็นไปตามเหตุและผล ต้องยอมรับความแตกต่างทั้งภายในและภายนอก เพราะทุกๆคนก็มีเหตุผลของตนเอง และมักจะหาเหตุผลเพื่อสนับสนุนตนเองอยู่เสมอ เราจึงต้องคอยเตือนจิตใจตนเองไม่ให้หลงในวัฎจักรแห่งความเสื่อมเพื่อไปอยู่ในจุดที่เรียกว่าความสุข ก็คงต้องเฝ้าดูมันต่อไป เพราะผมก็เพิ่งอยู่ในวัยเบญจเพสคงต้องได้รับการทดสอบจิตใจอีกมากจากโลกใบนี้

เด็กชายกระจกเงา ตอนที่ 2

ตลอด4 ปีที่ผมอยู่ในรั้วมหาวิทยาลัยนเรศวร จังหวัดพิษณุโลกมีทั้งสุขและทุกข์จากนานาปัญหา เรื่องราวต่างๆ มีช่วงเวลาที่ประทับใจ เศร้า อิ่มเอมไปกับบรรยากาศต่างๆผ่านกิจกรรมดีๆที่เกิดขึ้น เริ่มจากตอนปีหนึ่งน้องใหม่มีการเข้าห้องเชียร์ของ ม.น. โดยผมอยู่ห้องเชียร์คณะวิทยาศาสตร์ซึ่งก็ขึ้นชื่อเรื่องความโหดมันฮาอยู่แล้ว แต่ผมไปเข้าวันแรกก็รู้สึกว่ามันไม่ใช่ไม่ใช่แนวผม อีกปัจจัยนึงคือแฟนหวงมาก คือพูดง่ายๆงี่เหง้ามากไม่ให้ผมทำกิจกรรมไรเลยให้เรียนแล้วรีบกลับบ้าน ผมก็เลยทำให้เพื่อนๆที่อยู่รอบๆผมเดือนร้อนในวันที่สองเพราะจากนั้นผมไม่เคยเข้าห้องเชียร์อีกเลย จนวันสุดท้ายอีกประมาณหนึ่งเดือนต่อมาผมจึงเข้าไปปิดห้องเชียร์ ถึงขนาดพี่รหัสเอือมระอาเพราะเอาข้าวเอาขนมมาให้ผมเกือบทุกวันแต่ผมดันไม่เคยโผล่หน้าไปเลย จนระยะต่อมาผมเริ่มเบื่อกับแฟนสาวที่ไม่ค่อยเข้าใจเพราะเด็กอาชีวะ พาณิชย์ จะมีอีกอารมณ์อีกความคิดนึงซึ่งออกแนวไม่เข้าใจเราเท่าไร ผมจึงหาเรื่องเลิกแต่เพื่อความแนบเนียน บังเอิญขณะนั้นสาวพยาบาลผู้ถือป้ายคณะพยาบาล หมวย เอกซ์ ดันตาถั่วมาขอเบอร์ผมที่เพื่อนในเอกสถิติที่อยู่บ้านเดียวกับสาวเจ้า หลังจากนั้นผมก็สานสัมพันธ์เรื่อยมาจนคบกันเป็นแฟนกันในปีหนึ่งตอนปลายๆ ขณะนั้นสาวอาชีวะก็มีบ่าวใหม่ผมก็เลยรอดตัวอย่างชิวๆ ผมคบกับสาวพยาบาลโดยพ่อแม่รับรู้เพราะผมไม่ได้อยู่หอพักแต่อยู่บ้าน พ่อที่อยู่ใกล้ม.น. เพียง 4 กิโลเมตรเท่านั้นจึงขี่รถไปเรียนไปกลับทุกวัน และแน่นอนเด็กวัยรุ่น นักศึกษาหนุ่มสาวก็นิยมอยู่ด้วยกันเป็นคู่ๆผมก็เช่นเดียวกัน พาเธอมาอยู่บ้านด้วยกันแต่เช่าหอพักไว้ที่ ม.น. เพราะเอาไว้เก็บของของหล่อนพอเวลาพ่อแม่เค้ามาเยี่ยมลูก ก็เนียนกลับไปนอนที่หอกับเพื่อนพยาบาลของเธอ เป็นแบบนี้อยู่ตั้งแต่ปีหนึ่งถึงปีที่สามปลาย เมื่อเธอเรียนทฤษฎีสองปีพอปีสามก็กลับไปฝึกงานที่โรงพยาบาลสวรรค์ประชารักษ์ จังหวัดนครสวรรค์ ช่วงนั้นเราก็เริ่มมีปัญหากันคือเธอมีหนุ่มมาติดพัน และก็แอบมีแฟนใหม่โดยที่ผมไม่รู้ตัวเลย ก็เลยมีเรื่องระหองระแหงกันอยู่จนผมรู้สึกว่าผิดปกติจึงตามไปหาที่นครสวรรค์โดยที่ไม่ให้เธอรู้ตัวและก็แอบไปเห็นกลางดึกคืนนั้นเธอปีนออกจากหอพักพยาบาลด้านหลังเพื่อไปเที่ยวกับหนุ่มคนใหม่ผมแอบอยู่ที่ตู้โทรศัพท์หลังหอพัก เต็มๆเลยครับเป็นความรู้สึกที่พูดไม่ออกบอกไม่ถูก เหมือนจุกเสียดเน้นท้อง แต่ไม่ต้องกินยาธาตุเพราะมันจุกแบบว่า โหแม่งแรงว่ะ ไม่นึกว่าหล่อนจะกล้า ผมก็แอบคิดในใจว่าของเค้าแรงจริงๆ กลับมาจากนครสวรรค์วันรุ่งขึ้น ไม่เป็นอันเรียนเลยครับ กินไม่ค่อยได้ นอนไม่หลับ กระสับกระส่าย ไตพิการ อาหารไม่ย่อย โอ๊ยสารพัดจนกระทั่งเวลาผ่านไปผมก็เริ่มทำใจได้บ้างไม่ได้บ้าง หลายเดือนต่อมาเธอก็กลับมาหาผมแต่คราวนี้มันต่างออกไป ผมไม่ได้รู้สึกกับเธอเหมือนเก่าแต่เธอก็ดูเหมือนจะสำนึกผิดจึงรักผมมากกว่าเดิมแต่มันสวนทางกับผมที่รู้สึกกับเธอ จนกระทั่งปี 4 ผมก็ห่างกับเธออีกครั้งคราวนี้ผมก็เริ่มออกลายอีกครั้งอาจเป็นเพราะความเจ็บแค้นที่เธอเคยทำไว้ผมก็เลยรู้สึกอยากแก้แค้นเธอจึงไปจีบรุ่นน้องพยาบาลซึ่งดีกรีเป็นหรีดคณะพยาบาลคงไม่ต้องบรรยายถึงความน่ารักของน้องคนนี้ซึ่งมันก็ได้ผลเพราะน้องเค้าก็แรงจริงก็เล่นด้วยกับผมจนเกิดวีรกรรมที่ผมนึกแล้วก็ตลกตัวเองว่า โหผมหน้าเหมือนโดม ปรกณ์ ลัมรึไง ถึงมีนักศึกษาพยาบาลรุ่นพี่รุ่นน้องตบกันสนั่นหอพักพยายบาลที่นครสวรรค์ ไอ้ผมอยู่ที่พิษณุโลกรู้ข่าวเข้าก็แทบบ้า แต่ออกแนวบ้าจี้หลังจากนั้นผมก็เริ่มยุติความสัมพันธ์กับสาวๆ แต่มันก็มีเข้ามาอยู่เรื่อยๆเป็นลักษณะ After shock คือมาเป็นระลอกแต่ไม่ได้จริงจังหนักแน่นอะไรกับใคร ใครที่อ่านมาถึงตรงนี้คงนึกว่าชีวิตนี่มีแต่ด้านมืดของอิสตรี แต่ในอีกหลายมิติผมก็ไม่ได้เลวร้ายไปซะหมด อย่างเรื่องการเรียนในปีหนึ่งผมก็ทำเกรดอยู่ในระดับปานกลางเอาตัวรอดเพราะต้องตัดเกรดรวมกับหลายๆคณะ แต่พอเริ่มเข้าวิชาเอกเกี่ยวกับคณิตศาสตร์และสถิติผมก็ทำเกรดได้อยู่ในระดับดีเฉียดสาม บางเทอมก็สามกว่า ซ่งมันก็มากจากความขยันและเพื่อนๆที่ช่วยๆกันทำให้เรากระตือรือร้น แต่เหตุการณ์ที่ผมประทับใจที่สุดด้านการเรียนก็คือ ในปีสองผมเรียนวิชาแคลคูลัส และต้องเรียนรวมกับหลายคณะเป็น Sec ใหญ่ ผมสามารถทำคะแนนสอบแคลคูลัสได้100 เต็ม 120 สูงสุดในSec ที่มีอยู่ร้อยกว่าคน ตอนขานคะแนนผมนี่ตัวลอยเลยเพราะสาวๆหันมามองเกรียวกราว บางคนก็ว่าผมมั่วถูกแต่มันเป็นวิธีทำหมดใครจะเดาได้ ซึ่งก่อนหน้านั้นผมซุ่มอ่านทำแบบฝึกหัดอย่างหนักมากและมันก็ได้ผลตอบแทนที่หอมหวาน ส่วนวิชาอื่นๆในเอกผมก็ทำได้อยู่ในแถวหน้าของเอกแต่ก็อ่อนเป็นบางเรื่องเพราะติดขี้เกียจบ้างไม่ละเอียดบ้าง แต่ผมก็เอาตัวรอดมาตลอดในเอกผมจะให้ทำทั้งสองอย่างคือฝึกงานด้วยและกับมาทำ Project ด้วยซึ่งปัจจุบันให้เลือกอย่างใดอย่างหนึ่ง นับเป็นเรื่องที่โชคดีที่ผมได้ทั้งประสบการณ์การฝึกงานและกลับไปทำ Project โดยผมฝึกงานที่จังหวัดเชียงรายกลับสำนักงานตัวแทนประกันชีวิต AIA ของคุณขจร เภาเจริญ ซึ่งเป็นเพื่อนแม่ตอนนั้นผมอยู่ปีสามซัมเมอร์จะขึ้นปีสี่ซึ่งเป็นจุดเริ่มต้นของความคิดที่จบแล้วจะมาอยู่จังหวัดเชียงรายเพราะจังหวะนั้นแม่ผมย้ายมาเป็นรอง ผ.อ.ที่จังหวัดเชียงราย ที่ ร.ร. ห้วยใคร้ และปัจจุบันอยู่ที่ ร.ร. เวียงแก้ววิทยา สพท. เชียงรายเขต 1 และแม่ก็อยู่กับตาที่แก่แล้วจึงคิดว่าถ้าเรียนจบอาจจะมาทำงานที่เชียงรายแต่ก็ไม่รู้จะทำอะไรเพราะยังเรียนไม่จบ ผมเรียนสถิติก็จริงแต่ฟิวของมันหลากหลายทั้ง Pure ทั้ง Research ,QC และสถิติประกันภัย ดังนั้นจึงเลือกมาฝึกงานที่บริษัทประกันชีวิตก็ได้ประสบการณ์มากมายในระยะเวลา 2 เดือน ได้เรียนรู้เกี่ยวธุรกิจประกันชีวิต ชีวิตตัวแทนประกันชีวิตฝีกบุคลิกการพูดคุย การมีปฎิสัมพันธ์กับคนรอบข้าง การเข้าหาคน เพราะก่อนหน้านี้ผมจะออกแนวเซอร์ๆเล่นดนตรีกับเพื่อนๆในเอกตอนปีสามโดยมีวงชื่อว่า STAT BAND ประกวดงานดนตรีต่างๆใน ม.น. โชว์ในงานต่างๆของคณะก็จะออกแนวไม่เรียบร้อย การมาฝึกงานที่นี่ผมก็ปรับปลี่ยนบุคลิกไปค่อนข้างมาก และพอกลับมาผมก็กลับมาทำ Project เกี่ยวกับการวิเคราะห์ปัจจัยของผู้เลือกทำและไม่ทำประกันชีวิตของประาชนในเขตอำเภอเมืองจังหวัดพิษณุโลก โดยใช้ Factor Analysis แบบ Exploratory ซึ่งก็ได้ความรู้เกี่ยวกับตัวสถิติและวิธีการทำวิจัยเบื้องต้นค่อนข้างมาก แต่ก็ทำในลักษณะกลุ่ม 3 คนจึงไม่ค่อยมีความเข้มข้นซักเท่าไรแต่ประสบการณ์ตรงจากการเก็บข้อมูลลงภาคสนามก็มีความทรงจำดีๆมากมายทั้งโดนหมาไล่ ควายขวิด หลงทางมากมายเพราะสุ่มตัวอย่างในอำเภอเมืองพิษณุโลกก็จริงแต่มันไม่ได้เจริญไปทุกซอกทุกมุมบางที่อำเภอเมืองก็จริงแต่ยังเป็นลูกรังอยู่ก็มากแต่ก็ได้รับรู้ว่าแบบสอบถามทุกชุดมีคุณค่ามากขนาดไหน จรรยาบรรณนักสถิติตอนนั้นค่อนข้างเข้มข้นมาก แต่ก่อนหน้านี้ผมก็ได้ทำงานวิจัยเล็กๆในมหาวิทยาลัยหลายชิ้น เช่น ศึกษาพฤติกรรมการเล่นพนันฟุตบอลของนักศึกษาชายใน ม.น. การทำวิจัยเรื่องนี้ทำให้ผมต้องเข้าไปคลุกวงในกลายเป็นเซียนบอลไปโดยปริยาย ถึงขนาดติดพนันบอลกันงอมแงมเลยทีเดียวแต่ก็เลิกได้ตอนเรียนจบนี่แหละครับ อย่างที่บอกว่าผมเล่นบอลดีตั้งแต่เด็กเมื่ออยู่ในรั้วมหาวิทยาผมก็เล่นบอลของคณะ ซ้อมบ้างได้ลงบ้าง ไม่ได้ลงบ้าง เพราะเมื่อโตขึ้นฟุตบอลมันก็มี Factor มากมายเรื่องของเส้นใครเข้าหารุ่นพี่บ่อยๆเรียกว่าเลียเก่งก็ได้เล่นบ่อย และผมก็ตัวผอมแรงปะทะน้อยจึงไม่ค่อยได้รับโอกาสเหมือนตอนเด็กๆที่เรื่องแรงปะทะเป็นปัจจัยรอง แต่ก็มีความสุขกับการเตะฟุตบอลในมหาวิทยาลัยยามเย็นทุกๆวัน ช่วงปีสี่ปีสุดท้ายนับเป็นช่วงที่มีความสุขที่สุดในชีวิตมหาวิทยาลัยเพราะไม่ค่อยมีเรียนไปหาอาจารย์เพื่อดูความคืบหน้า Project นานๆครั้งจึงทำให้มีเวลาว่างสังสรรค์กันบ่อยครั้งในหมู่เพื่อนฝูงและมีกิจกรรมร่วมกันมากมาย โดยยึดหลักความเสี่ยงและความน่าจะเป็น เช่น รัมมี่ ป๊อกเด้งเรียกว่า เล่นกันจนผ่อนมือถือกันเป็นเครื่องๆเลยที่เดียวแต่ที่ร้ายที่สุดคือเล่นกันจนเพื่อโดนรีไทน์ คือเพื่อนผมเรียนภาคค่ำพอพวกผมเลิกเรียนบ่ายก็จะชวนมันเล่นจนมันไม่ได้ไปเรียนจนโดนรีไทน์ตอนปี 3 ซึ่งพวกเารู้สึกผิดมากกับเพื่อนคนนี้แต่มันก็ไปเรียนใหม่ที่ กทม. แต่ทุกครั้งที่ติดต่อหรือเจอก๊วนเดิมๆก็จะมีวลีที่หลอกหลอนกันก็คือ “เฮ้ยระเบิดลงที่หอมาด่วน” นั่นหมายถึงระเบิดลงแล้วต้องมีการขาขาดเกิดขึ้น นั่นคือเรียกลูกขามาประจำการ นึกถึงแล้วยังได้กลิ่นผ้าห่มที่รองไพ่ มันก็เป็นประสบการณ์กับเพื่อนๆที่หาไม่ได้ที่ไหน และช่วงนั้นเองชีวิตผมก็เปลี่ยนอีกครั้งนึงก็เป็นเรื่องของชีวิตความรักนั่นเองหลังจากที่เว้นว่างโสดอยู่หลายเดือนจนกระทั่งความบังเอิญทำให้ได้เจอกับรักครั้งใหม่แต่กับคนเก่าตั้งแต่สมัยเรียน ป. 2 ไม่น่าเชื่อว่าจะยังได้กลับมาคบกันอีก วันนั้นผมปวดท้องมากกำลังจะไปดูบอลที่หอเพื่อนหลังมอ ปวดมากเลยแวะไปหาหมอที่ รพ. ม.น. ก่อนเพื่อไปตรวจและเอายาไปกินแต่ปรากฏว่าเหตุการณ์มันรุนแรงกว่าที่คิดไว้เยอะเพราะหมอกดที่ท้องผมสะดุ้งกระตุกอย่างแรงเท่านั้นแหละครับหมอพูดว่า เตรียมผ่าได้ ไส้ติ่งชัวร์ ผมแทบจะหัวใจวายเพราะเกิดมาเพิ่งจะเคยผ่าตัดเป็นครั้งแรกของชีวิต ในตอนนั้น แฟนก็ไม่มี เลยโทรบอกแม่ที่อยู่เชียงรายพอแม่รู้ก็รีบมาพิษณุโลกทันที แต่พ่อนี้ติดราชการต่างจังหวัดเลยมาไม่ได้ พอผมผ่าตัดเสร็จ ก็พักฟื้นอยู่ที่ รพ. ม.น. จนได้เจอญาติของสาวที่ผมไม่คิดว่าจะได้ติดต่อกับเธออีกหลังจากเมื่อตอนม. 4 ได้ไปกวดวิชาด้วยกันแต่ก็ไม่ได้สานต่อความสัมพันธ์อะไรจึงเป็นแค่ความทรงจำดีๆ ที่เก็บไว้จนถึงวันนี้ที่ได้เจอญาติของหล่อนจึงได้ขอเบอร์ติดต่อจึงได้รู้ว่าเธอเอ็นติดที่แม่โจ้และเรียนอยู่ปีสี่เหมือนกันในคณะเศรษฐศาสตร์ จึงได้คุยกันคุยไปคุยมาจนผมออกจากโรงพยาบาลพักฟื้นได้ประมาณสามสัปดาห์ก็ตัดสินใจไปเที่ยวเชียงใหม่ไปหาสาวเจ้าช่วงนั้นเป็นเดือนลอยกระทงปล่อยโคมที่แม่โจ้ และเราก็เริ่มคบหากันจนเรียนจบเหตุการณ์มากมายเกิดขึ้นซึ่งรักครั้งนี้ของผมออกแนวจริงจังคาดหวังกันสูง เราก็ไปมาหาสู่กันเดือนละครั้ง ความสัมพันธ์ก็ดีขึ้นจนถึงจุดที่เรียกว่ามันเกิดอะไรมันเกิดอะไร เพราะในช่วงนั้นผมก็ทำงานเธอก็ไปทำงานที่ กทม.เจออะไรๆเยอะสังคมใหม่ก่อนหน้านั้นเธอก็ขายของช่วยแม่อยู่บ้านมันก็ไม่มีปัญหาอะไร แต่พอเริ่มเจออะไรกว้างขึ้นมันก็มีข้อเปรียบเทียบประกอบกับทิ้งระยะไกลเกินไปบางเดือนแทบไม่ได้เจอกันสองสามเดือนก็มีที่ห่างกัน จึงมีอันต้องเลิกกัน ทั้งๆที่ความคาดหวังของเราสูงถึงขนาดพ่อและแม่ของเราทั้งคู่คุยกันแล้วเรามีการวางแผนอนาคต ไปมาหาสู่กันผมก็ไปช่วยครอบครัวเค้าขายของในวันหยุดเทศกาลบ่อยครั้งจนเหมือนครอบครัวเดียวกัน พ่อแม่เราสนิทกันคุยกันถูกคอ มีความสัมพันธ์ในทุกมิติ ซึ่งดูแล้วเหมือนว่าจะสิ่งต่างๆจะทำให้คิดว่าใช่คนนี้ เราไปงานรับปริญญาของเราทั้งคู่ ทุกสิ่งทกอย่างดูดีสวยงาม แต่สุดท้ายมันก็พังลงทั้งหมดภายในระยะเวลา 2 ปี กว่า เหมือนกับว่าเราเป็นเพื่อนกันซะมากกว่าเพราะเราเริ่มจากการเป็นเพื่อนกันมานานจนความคิดของเธอเปลี่ยนไปเพราะก็เข้าใจในเหตุผลที่เธอมาบอกเลิก เธอก็คงต้องการความมั่นใจ การดูแลอย่างใกล้ชิด ไม่เหงา ไม่ต้องรอคอย แต่ผมไม่มีเลย ไม่ใช่เลย จึงเพิ่งรู้เดี๋ยวนั้นเองว่าตัวเองความคิดแคบมากเหมือนจะโตแล้วที่เรียนจบแต่ความคิดยังเป็นเด็กกันอยู่ทำให้ความคาดหวังมันกลับมาทำร้ายเราเองเราจากกันด้วยดีโดยที่ยังคุยกันได้เป็นเพื่อนที่ดีต่อกันยังถามสารทุกข์สุกดิบกันไๆด้เหมือนเดิม นั่นเป็นความรักครั้งสำคัญที่เป็นประสบการณ์ที่ดีทำให้ผมเข้าใจอะไรๆเกี่ยวกับชีวิต ความรักในด้านต่างๆ มากขึ้น จนทำให้ผมมีแนวคิดที่ปล่อยวาง ไม่ยึดมั่นถือมั่น กับความรัก และชีวิตจนทำให้เราต้องเสียความเป็นตัวของตัวเองไป สิ่งนี้เป็นสิ่งสำคัญถ้าจะรักใครซักคนก็ต้องยอมรับสิ่งที่อยู่ในเนื้อในตัวของกันและกันให้ได้ แสดงความเป็นตัวตน อย่าFake ใส่กันมันจะไม่ยั่งยืน จากชีวิตผมมาถึงตรงนี้ก็ยังมีอกีหลายประเด็นที่ยังคงค้างอยู่แต่ส่วนใหญ่ก็เป็นเรื่องราวเชิงลบที่ไม่ค่อยสมหวัง จากนี้ลองมาเปลี่ยนดูเรื่องราวชีวิตในด้านปัจจุบันและอนาคตภาพซึ่งจะเกี่ยวกับข้องกับการทำงานการศึกษามุมมองความรักที่เป็นปัจจุบันขณะว่าจะแตกต่างจากประสบการณ์เดิมมากน้อยเพียงใด

เด็กชายกระจกเงา ตอนที่1


ผมเกิดมาในครอบครัวข้าราชการที่ฐานะปานกลาง  พ่อเป็นตำรวจ ตชด. ชั้นประทวนธรรมดา แม่เป็นครูบ้านนอก มีพี่สาวและน้องชายคนละแม่อีกหนึ่งคน (คงไม่ต้องบรรยายสรรพคุณความเจ้าชู้ของพ่อผม) คนภายนอกมองดูแล้วเหมือนครอบครัวผมจะไม่ค่อยมีอะไรมากมายราบเรียบ ดูดี แต่แท้ที่จริงแล้ว ครอบครัวของผมเป็นครอบครัวที่ค่อนข้างมีปัญหามาก เริ่มจากการที่พ่อเป็นตำรวจ อย่างที่เค้าว่า จริงๆ รถไฟ เรือเมล์ ลิเก ตำรวจ เจ้าชู้ทุกรายและพ่อผมก็ไม่ทำให้เสียสุภาษิต เจ้าชู้เข้าขั้นเทพ มีภรรยาแทบทุกจังหวัด ย้ายไปราชการที่ไหนเป็นมีเรื่อง จึงทำให้แม่ทนไม่ไหว ขอหย่ากับพ่อตั้งแต่ผมอายุได้ 6 ขวบผมยังจำได้อยู่ประมาณ ป.1 แม่วิ่งเอามีดไล่ฟันพ่อรอบบ้าน ผมกับพี่สาวก็ได้แต่ร้องไห้ นั่งกินข้าวเหนียวหมูปิ้งทั้งน้ำตา นั่นเป็นความทรงจำที่ไม่น่าจดจำในวัยเด็ก ตั้งแต่นั้นมาผมและพี่สาวก็ถูกผลักไสไล่ส่งด้วยความรักจากพ่อและแม่ ให้ไปอยู่กับคนนั้นที คนนี้ที หลายโรงเรียน หลายจังหวัด ตั้งแต่ ตาก ยัน พิษณุโลก ตั้งแต่โรงเรียนวัดยันโรงเรียนคุณหนูไฮโซ โรงเรียนพุทธ ยันโรงเรียนคริสต์  มากมายหลายโรงเรียนจนมาจบประถมที่โรงเรียนเทศบาล 2 จังหวัดพิษณุโลก ในสมัยประถมผมเป็นเด็กที่เตะฟุตบอลเก่งชนิดที่ว่าในรุ่นเดียวกันในพิษณุโลกหาตัวจับยากที่เดียว ทั้งที่ตัวผอมแห้งแต่อาศัยความพลิ้วและเล่นบอลด้วยสมองไม่ค่อยใช้แรงปะทะ ส่วนเรื่องเรียนผมก็มีความจำที่ดีแต่ออกแนวขี้เกียจตั้งแต่เล็กๆ ชนิดที่หาตัวจับยากเช่นเดียวกัน(หมายถึงความขี้เกียจนะ)  พอจบประถมด้วยเกรดปานกลางมากๆก็ได้โควตาบุตรข้าราชการตำรวจ เรียนต่อมัธยมที่โรงเรียนพิษณุโลกพิทยาคม ซึ่งเป็นโรงเรียนประจำจังหวัด คนพิษณุโลกเรียกสั้นๆว่าโรงเรียนชายเพราะมีแต่ชายล้วน เพราะเมื่อก่อนยังไม่เป็นโรงเรียน สหศึกษาเหมือนปัจจุบัน แต่ก็มีสาวๆให้เห็นบ้างในมัธยมปลาย ช่วงชีวิตในโรงเรียนมัธยมของผมมีวีรกรรมที่น่าจดจำและไม่น่าจดจำมากมาย ทั้งเรื่องการเรียน  การเล่นฟุตบอล ครอบครัว  การคบเพื่อนจนเสียผู้เสียคน แก็งค์รถซิ่ง  และที่จะขาดไปไม่ได้ก็คือเรื่องสาวๆ ที่ได้เชื้อพ่อมาเต็มๆ จะน่าภาคภูมิใจดีไหมเนี่ย เริ่มจากมัธยมต้นผมก็เป็นเด็กเรียนปานกลาง เอาตัวรอดด้วยไหวพริบเป็นส่วนใหญ่ก็คือยังทิ้งนิสัยขี้เกียจไม่ลงซะที คาบว่างก็เตะบอลกับเพื่อนๆจนตัวดำ คาบไหนไม่ชอบเรียนก็โดดยกห้องไปเตะบอลกันเรียกได้ว่าคิดอะไรไม่ออกก็เตะบอลเลยก็ว่าได้จนเริ่งมัธยม 3 ผมเริ่มเตะบอลคบเพื่อน ติดสาว เริ่มมีรถจักรยานยนต์เป็นของตัวเอง เริ่มออกนอกลู่นอกทาง ในช่วงนี้มันมีเหตุและปัจจัยหลายอย่างให้ผมต้องเลือกทางเดินที่ผิดๆ เริ่มจากมัธยม 1 พ่อและแม่ของผมฟ้องศาลกันเพื่อจะเอาลูกไปเลี้ยงในครอบครองคือแย่งกันเป็นผู้ปกครองสุดท้ายพ่อก็ชนะเพราะหาว่าแม่เป็นโรคประสาทไม่สามารถเลี้ยงลูกได้ผมและพี่สาวจึงไปอยู่บ้านพ่อในค่ายตำรวจ ตชด. ร่วมกับแม่เลี้ยงและน้องชายคนละแม่อีกหนึ่งคน โดยแม่เลี้ยงมีอาชีพแม่ค้าขายผลไม้ อาหารตามสั่ง แม่เลี้ยงผมค่อนข้างจะมีฐานะ คือพ่อผมชอบแม่ค้าเพราะเงินคล่องกว่าครูบ้านนอกอย่างแม่ น่าจะมีส่วนนะ ในความคิดของผมตอนนั้น
ส่วนแม่ก็มีสามีใหม่ที่เป็นครูด้วยกันและอีกไม่นานก็มีหนุ่มๆมาพัวพัน ตั้งแต่ ตำรวจ เสี่ยรับเหมา จนเลิกรากันไป ผมก็ได้มีเวลาช่วงเสาร์อาทิตย์ไปนอนกับแม่บ้างเพราะแม่ยังสอนอยู่ที่พิษณุโลก ส่วนจันทร์ถึงศุกร์ก็ไปเรียนหนังสือกลับมาก็มาช่วยแม่เลี้ยงขายของทั้งพี่ทั้งน้อง หมายถึงพี่สาวผม ทำให้ผมเหนื่อยกว่าเด็กในรุ่นเดียวกันแต่ก็ได้ประสบการณ์ ได้รับผิดชอบงานตั้งแต่เล็กๆ เพราะถ้าไม่ช่วยเราก็จะไม่ได้เงินไปโรงเรียน หรือได้ก็ได้น้อย ทำให้ผมและพี่สาวเก็บเงินเก่ง สามารถซื้อของเล่น แพงๆด้วยตัวเองได้ เช่น ตัวต่อเลโก้ ที่ผมภูมิใจมาก เพราะผมจะคำนวณเลยว่าเก็บวันละเท่านี้นะกี่วันกี่เดือนจะได้ตัวต่อชุดนี้ และก็ได้จริงๆ ทำให้ผมมีความภูมิใจกับสิ่งเล็กๆน้อยตั้งแต่เด็กๆ  นี่คือช่วงเด็กๆ ทีนี้ข้ามมาดูช่วงมัธยม 3 ที่ผมบอกว่าเริ่มมีพฤติกรรมที่สุ่มเสี่ยงไปทางไม่ดี ก็คือ เริ่มจากคบเพื่อนที่เป็นแกงค์รถซิ่ง เตะบอลไม่ยอมเรียน จีบสาวที่เรียนพิเศษวันเสาร์อาทิตย์ ทำให้การเรียนค่อนข้างตก จนพ่อบอกว่าถ้าไม่ชอบเรียนก็จะให้ไปอยู่โรงเรียนกีฬาจังหวัดสุพรรณบุรี ซึ่งขัดแย้งกับความคิดของแม่ที่อยากให้เรียนต่อม.456 และให้เข้ามหาวิทยาลัย เพราะเตะบอลไม่มีอนาคตไม่มีอาชีพแน่นอน จึงทำให้ผมค่อนข้างสับสนมากกับช่วงหัวเลี้ยวหัวต่อของชีวิต จึงหันไปคบเพื่อน ติดสาว ประกอบกับช่วงนั้นพี่สาวก็เริ่มโตเรียน ปวส. มีแฟนเลยห่างๆกันไม่ค่อยสนิทเหมือนเก่า และก็ไปต่อป.ตรี บัญชี ที่ศรีปทุม จึงห่างกันไปโดยปริยาย ผมเลยใช้ชีวิตด้วยตัวเองคิดอ่านตัดสินใจทุกอย่างด้วนตนเอง พ่อกับแม่เลี้ยงก็จะให้เงินเป็นสัปดาห์สองสัปดาห์ที จึงทำให้ห่างจากครอบครัว แต่อีกด้านนึงก็ทำให้ผมโต สมัครเรียนต่อ ม. ปลายเอง ทำธุรกรรมทางกฎหมายต่างๆด้วยตัวเองตั้งแต่ ม. 3 ติดต่อที่เรียนพิเศษ เองจ่ายเองบางครั้งก็ไม่ได้เรียน เพราะเอาเงินไปแต่งรถเลี้ยงเพื่อนเลี้ยงสาวบ้าง เป็นช่วงชีวิตที่ค่อนข้างเสเพล โดนจับเรื่องรถซิ่งนับครั้งไม่ถ้วน แต่ผมก็จบมัธยมต้นได้ด้วยเกรดที่เกือบตก และต่อมัธยมปลายที่โรงเรียนเดิมและแค่เทอมแรกผมก็ติดศูนย์ วิชาคณิตศาสตร์แล้วเพราะไม่เข้าเรียนและเรียนไม่รู้เรื่อง แต่วิชาอื่นๆก็พอถูๆไถๆไปได้นับเป็นช่วงที่ถึงจุดพีคของเด็กเสเพลเพราะเริ่มเบื่อกับการใช้ชีวิตเดิมๆ โดดเรียนไปปาร์ตี้กับสาวๆโรงเรียนสตรี ตกเย็นก็กลับบ้านในเวลาเหมือนได้ไปเรียนมาทั้งที่จริงในกระเป๋ามีแต่ชุดเที่ยว นี่คือพฤติกรรมที่ทำบ่อยในมัธยม4 แต่จุดหักเหของชีวิตก็มาถึงในมัธยม 4 เทอมที่ 2 เพราะหลายๆอย่างบีบบังคับ ทั้งเรื่องที่บ้าน ครอบครัว แม่ พี่สาว เพื่อน เพราะเพื่อนที่คบๆกันก็เริ่มล้มหายตายจากด้วยคดียาบ้าบ้าง รถชนบ้าง ออกกลางคันบ้าง พ่อจึงเรียกคุยยื่นคำขาด ประกอบกับในช่วงนี้ได้มีโอกาสเรียนรักษาดินแดนเป็นนักศึกษาวิชาทหารด้วยจึงเริ่มมีระเบียบวินัยในตัวเองเพิ่มขึ้น และที่สำคัญคือผมเจอรักครั้งแรกกับสาวที่เรียนประถมด้วยกันคือแอบปลื้มๆกันตั้งแต่ป.2 พอมัธยมหล่อนก็ย้ายไปเรียนโรงเรียนสตรีประจำจังหวัด ทำให้ไม่ได้ติดต่อกันนาน และเธอก็มาเรียนพิเศษในที่กวดวิชาวิชาคณิตศาสตร์แห่งหนึ่ง ผมที่ติดศูนย์คณิตศาสตร์จึงโดนบังคับให้ไปเรียน ด้วยความไม่ตั้งใจ แรกๆก็เรียนไปงั้นๆอยากไปเห็นหน้า แต่หลังๆเริ่มตั้งใจเพราะอยากโชว์พาวตอบแบบฝึกหัดบ่อยๆ แล้วได้หน้า คิดเร็วคิดถูกตอบดังสาวๆก็สนใจ จนเพื่อนๆในชั้นเริ่มหมั่นไส้ แต่มันก็ทำให้ผมเรียนวิชาคณิตศาสตร์ได้ดีขึ้นโดยไม่รู้เนื้อรู้ตัว คงเพราะได้ทำแบบฝึกหักมาก และทำซ้ำๆจนชำนาญ จึงส่งผลให้มัธยม 5 และ 6 ผมได้เกรด 4 วิชาคณิตศาสตร์ทุกเทอม แต่วิชาอื่นๆผมก็ยังเหมือนเดิมคือเอาตัวรอดไปวันๆ 2 บ้าง 3 บ้าง 1 บ้าง ก็คละกันไปจบมัธยม 6 มีGPA อยู่ที่ 2.50 ซึ่งถือว่าปานกลางเพราะม.4 เกรดไม่ดีมาเร่งทีหลังก็ไม่ค่อยทัน ในช่วงนี้เองผมได้ค้นพบอะไรหลายๆอย่างในชีวิตวัยรุ่นทั้งการเรียน เรื่องสาวๆ ช่วยแม่เลี้ยงทำงาน ทำให้ผมรู้จักแบ่งเวลา ว่าตอนไหนควรเรียน ควรช่วยครอบครัวทำงาน ควรไปเที่ยวกับสาวๆ ตอนนั้นผมต้องช่วยแม่เลี้ยงขายของจนดึก และต้องตื่นเช้าไปเรียน เสาร์อาทิตย์ก็เรียนพิเศษอีก ทำให้ชีวิตผมค่อนข้างเร่งรีบรัดตัว  ในช่วงนี้ผมก็เปลี่ยนสาวบ่อยมาก แต่ที่มาจริงๆจังก็คือสาวอาชีวะพิษณุโลก บ้านใกล้ๆกันก็คบกันไปคบกันมา เธอน่ารักแต่ค่อนข้างที่จะหึงหวงผมมากเกินไปหน่อย คบกันตั้งแต่ ม.4 ถึง ม.6 แล้วก็มาเลิกกันเพราะผมย้ายไปเรียนที่มหาวิทยาลัยนเรศวรแต่นั้นไม่ใช่ประเด็นเพราะที่จริงผมดันไปมีสาวใหม่ค่อนักศึกษาพยาบาลปีหนึ่งเหมือนกัน (ได้พ่อมาเยอะ) ผมสอบติดโควตาประเภทรับตรงของมหาวิทยาลันนเรศวรตั้งแต่เดือนธันวาคม ปี 44 ก่อนสอบผมก็ไม่ได้ไปเรียนพิเศษที่ไหนเลยมีเพียง
คณิศาสตร์อย่างเดียวส่วนวิชาอื่นๆผมก็อ่านเอาเองหมด ซื้อหนังสือติวมาอ่านเอง  เน้นเฉพาะที่ได้จริงๆ ผมมีความตั้งใจมากที่จะเข้า ม.น. ให้ได้ทั้งๆที่มันใกล้บ้าน อยู่ในสิ่งแวดล้อมเดิมๆ เพื่อนก็ชวนให้เลือกที่ ม.ช. บ้าง แต่ผมตอนนั้นมองอะไรๆแคบไปหน่อยติดสาวกลัวไปเรียนที่อื่นแล้วห่างกันเลยดักดานอยู่ที่พิษณุโลก ในสมัยนั้นโควตาเลือกได้ 4 อันดับผมเลือกสถาปัตย์อันดับแรกเพราะชอบอยากเป็นสถาปนิกผมชอบวาดรูปชอบคิดอะไรๆแปลกกว่าเพื่อนๆก็หวังว่าจะได้เรียนส่วนอันดับต่อมาก็เป็นเภสัช(เลือกไม่เจียมตัวเอง) เกษตรศาสตร์ และสุดท้าย สถิติ เลือกเพราะมันมีใบแนบหล่นลงมาจากชุดคะแนนโควตา เลยเลือกเพราะวิทยาศาสตร์สถิติปิดมาหลายปี เพิ่งจะมาเปิดในปี 45 เป็นรุ่นที่ 4 เลยมีใบแนะนำผมก็เลยเห็นว่าไม่มีใครค่อยรู้จักและเลือกเท่าไรจึงเลือกไว้กันเหนียว หลังจากนั้นผมก็ตั้งหน้าตั้งตาอ่านหนังสือทุกวัน ช่วงเวลาที่ผมชอบคือ ใกล้เช้า ตีสามถึงหกโมงเช้า ไม่รู้อะไรเข้าสิงผมเหมือนกันมันเกิดอยากอ่านอยากสอบติด อยากเท่ห์ คงเพราะสิ่งแวดล้อมในห้อง ม.6/7 ซึ่งเป็นสายวิทย์ สาธารณสุข มีความกระตือรือร้นกันมาก บางคนที่มีตังค์หน่อยก็ไปติวแบบแพงที่เค้าการันตีว่าติด บางคนก็เรียนพิเศษหลายๆสำนักจนดึกจนดื่น แต่ผมมันขี้เกียจไม่อยากกวนพ่อด้วยจึงไม่ได้ไปติวที่ไหนมีเพียงคณิตศาสตร์ตอนเย็นอย่างเดียวซึ่งเป็นอาจารย์ที่สอนประจำในโรงเรียนแกมาเปิดบ้านพักครูหลังโรงเรียนติวเพิ่ม ผมต้องขอบคุณอาจารย์เต้ย มากที่ทำให้ผมมีเจตคติที่ดีกับวิชานี้ แกสอนแบบง่ายๆเน้นให้ทำแบบฝึกหัด ผมยังคุ้นๆเลยว่าเอ๊ะบุคลิกอาจารย์เต้ยละม้ายคล้ายอาจารย์ปรมินทร์อย่างมากทั้งรูปร่างหน้าตา การพูดจา น้ำเสียง อาจเป็นเพราะแกเป็นคนเหนือเหมือนกันก็เป็นได้เพราะอาจารย์เต้ยจบ คม. คณิตศาสตร์ ที่ม.ช. พอประกาศผลในเดือนธันวาคม ในวันนั้นผมก็ยังโดดเรียนไปกะสาวอยู่ที่หอพักแห่งหนึ่งหลังวัดใหญ่(พระพุทธชินราช) เพื่อนสนิทผมมันชื่อเจดดา(ชื่อจริงเจษฎา)โทรมาบอกว่า เฮ้ยมึงมาดูบอร์ดหน้าตึกเร็ว ผมก็บอกไปว่าวันนี้กูไม่ได้เข้าไปว่ะ มันก็ตะโกนดังมากว่าเฮ้ยกูติดโยธา ส่วนมึงอ่ะติดสถิติ ที่ม.น. นะ ในวินาทีนั้นผมก็แอบเสียใจเล็กน้อยที่ไม่ได้สถาปัตย์หรือคณะที่สูงกว่าดันมาได้อันดับสุดท้ายที่เลือกแต่อีกใจนึงก็ดีใจที่ติดกะเค้าเหมือนกันเพราะทั้งชั้น ม.6 โรงเรียนประจำจังหวัดพิษณุโลก ติดอยู่ไม่ถึง100 คนจากเกือบ 900 คน สิ่งที่ผมคิดตอนนั้นก็คือเรียนก็เรียนวะ โคตรฟลุ๊คอ่ะ พอวันต่อมาไปโณงเรียนเพื่อนแซวกันใหญ่ว่าแม่งมึงโชคดีว่ะ รู้งี้กูเลือกกับมึงก็ดี ผมก็แอบสะใจเล็กๆเพราะไอ้พวกเคร่งๆมันไม่ติดแต่ผมมันเด็กหลังห้อง เฟี้ยว ไม่ค่อยตั้งใจเท่าไร ในสายตาพวกมันกลับติดโควตา แต่ใครจะรู้ว่าผมซุ่มอยู่หลายเดือนก่อนสอบที่บ้านที่เรียนพิเศษ ตอนนั้นผมยืดมากเพราะพ่อแม่พี่สาวก็ดีใจกับผมมาก เป็นหน้าเป็นตาให้พ่อมากเพราะลูกตำรวจในค่ายเดียวกัน(ค่ายพระยาจักรี) มีผมกับลูกผู้พันในค่ายที่ติด นอกนั้นส่วนใหญ่ไม่ค่อยเอาไหนติดยา เรียนไม่ดีซะเยอะ พ่อเลยหน้าบานเลยช่วงนั้น เอาเป็นว่าช่วงนี้ผมก็ค่อนข้างชัวร์แล้วว่าคงเรียนที่นี่ไม่สอบใหม่ละเพราะวันรายงานตัวจะตรงกับวันอะไรซักอย่างซึ่งมันหมายความว่าถ้าคุณรายงานตัวสอบสัมภาษณ์โควตา ม.น. ก็จะต้องชัวร์ห้ามไปสอบหรือสมัครที่ไหนอีก ในใจผมก็บอกว่ากูไม่สอบไหนแล้วกลัวไม่ติดเพราะแค่นี้ก็ฟลุ๊คมากแล้ว เหอๆๆ บางคนที่เก่งๆก็สละสิทธิ์ที่ ม.น. ไปสอบในเดือนมีนาคมใหม่เพื่อไป มหาวิทยาลัยดังๆ เช่น จุฬา ธรรมศาสตร์ ม.ช. พอผมติดที่ ม.น. แน่นอนแล้วจากนั้นก็เข้าทางครับเพราะผมโดดบ่อยมากในเทอมสองของม .6 เพราะมันไม่มีแรงจูงใจในการเรียนเพราะเหลืออีกประมาณสองเดือนตอนนั้นก็จะจบ ผมก็ใช้ชีวิตเมามันมาก แต่ก็สอบจบม.6 มาได้แบบเอาตัวรอดเกรดเกริดไม่สนใจเอาแค่ผ่านพอ หลังจากนั้นผมก็ดำเนินการทุกอย่างด้วยตนเองตั้งแต่ขั้นตอนมอบตัวรายงานตัวเพราะพ่อก็แค่เอาหลักฐานมาให้อย่างเดียวแต่ผู้ปกครองคนอื่นๆนี่เค้ามากันแบบตื่นเต้นตื่นตัว แต่พ่อผมนี่โคตรสนใจลูกเลย เหอๆๆ ผมเลยทำทุกอย่างด้วยตนเอง ค่าเทอมก็จัดการเองแต่ขอพ่อนะครับและพ่อก็ไปขอแม่เลี้ยงมาอีกที แต่ปรากฏว่าพ่อไม่ได้บอกแม่เลี้ยงว่าค่าเทอมผมเบิกได้ เลยเรียบร้อยโรงเรียนดาบตรี เอาไปเลี้ยงสาวตามเคย ผมโชคดีที่ไม่ได้กู้ยืมเงิน กยศ. เรียนเพราะค่าเทอมสมัยนั้นก็ไม่แพงมาก ห้าหกเจ็ดพันประมาณนี้แต่หลังจากนั้นออกนอกระบบก็หมื่นกว่า นับว่าโชคดีมากๆ นี่คือชีวิตในช่วงเริ่มต้นของผมในด้านการศึกษาและชีวิตรอบๆด้าน การลองผิดลองถูก ผ่านสิ่งร้ายๆ ได้ประสบการณ์ดีๆ การปรับตัว การยืดหยุ่นของชีวิต แต่อาจยังไม่มีเหตุการณ์ที่เข้มข้นมากนักเดี๋ยวในตอนหน้ามาติดตามชีวิตในรั้ว ม.น. ว่าจะมีวีรกรรมอะไรเด็ดๆอีก รับรองว่าเข้มข้นกว่านี้หลายเท่าตัวเพราะผมจะได้เล่าถึงชีวิตการเรียน ชีวิตความรักของนิสิต ม.น. ที่เน่าไม่แพ้ละครในทีวีเลยทีเดียว รวมไปถึงชีวิตครอบครัวผมที่เปลี่ยนได้ตลอดเวลา จนผมเริ่มปลงๆแล้วว่า ชีวิตคือการเปลี่ยนแปลง จริงๆ