วันอาทิตย์ที่ 29 สิงหาคม พ.ศ. 2553

วันเกิดฉันทำไมมันจึงไม่มีใครจำ

เป็นวันเกิดที่แปลกๆอีกปี ไม่อยากมีไม่อยากได้อะไร เฉยๆ เรื่อยๆ นั่งกินเหล้าคนเดียวกับแสงสีในวอร์ม อัพ ยังดีที่มีน้องออมและเพื่อนฝูงบ้างนิดหน่อยทำให้คลายความเหงาลงบ้าง ประสบการณ์การนอนบนเก้าอี้ในอาเขตเพื่อรอรถไปเชียงรายรุ่งเช้า เหมือนคนเร่ร่อนนะมึงเนี่ย 555 เมาชิบหาย


ตวามมืดในชีวิตก็กลับมาอีกครั้งกับเรื่องราวเดิมของความใคร่ที่ไม่มีใครปฎิเสธความอยากเหล่านี้ แต่ชีวิตก็ต้องดำเนินต่อไป ขอโทษหญิงสาวที่ต้องมาเกี่ยวพันกับชายไร้ซึ่งความรักและความผูกพัน แต่มันก็เป็นความพึงพอใจของเราที่จะทำแบบนี้ ไม่ได้มีเจตนาให้เธอเหล่านี้ต้องเสียใจไปกับสิ่งที่มักง่าย

ชีวิตผมมีแต่ดำกับขาวไม่มีสีเทา จริงๆ

วันอังคารที่ 24 สิงหาคม พ.ศ. 2553

ก้าวต่อไป

วันนี้ได้รับข่าวดีที่thesisเริ่มเดินหน้าซักทีหลังจากแม่งหยุกชะงักไปหลายเดือนเสียเวลาชิบ เสาร์นี้ก็ต้องไปจัดการเคลียร์ให้เรียบร้อย

กอปรกับข่าวจาก กทม เรื่องตั๋วหนังสองใบ กับอัมพวา เมื่อเสาร์ที่ผ่านมา รู้ว่าเธอกำลังดูๆกันอยู่กับคนที่ดีๆซักคน ขอให้เธอไปดีขอให้มีความสุข ขอให้เธอหมดทุกข์เสียที ขอให้รักยืนยาวให้เธอกับเขาโชคดีอย่าได้มีใครอีกเลยต้องเจ็บช้ำ เฮ้อ

วันที่หัวใจว่างเปล่า ไม่มีเธอเหมือนเก่าไม่มีเธออีกต่อไป 
วันนี้ช่างแตกต่างอย่างสิ้นเชิงกับวันเดิมในรอบหลายปี
ไม่มีใครให้รักและไม่มีใครรักเกือบ 3 เดือนแล้วนะ ตลกดีเหมือนกัน
มองข้ามช็อตไปแล้วก็ไม่อยากจะคบใครจริงจังแล้ว เพราะมันรู้จุดเริ่มและจุดจบไปซะหมด ไร้แรงจูงใจจะกลับไปมีหัวใจเต้นแรงเมื่อเจอหน้าใครซักคน คงอีกนานกว่าความรู้สึกนี้จะจางหายไป หลับตาเถอะนะขอให้เธอหลับฝันดี


อยากให้คนไทยมีความสุขทุกๆวันนะ
 

วันพฤหัสบดีที่ 19 สิงหาคม พ.ศ. 2553

จุดต่ำสุด กับจุดเริ่มต้นที่ซ้ำซาก

ใครไม่เคยตก ใครไม่เคยเจ็บ ใครไม่เคยเริ่มต้น ก็ไม่รู้ว่าอารมณ์ความรู้สึกนั้นเป็นอย่างไร การที่เราต้องเริ่มต้นสิ่งเดิมๆซ้ำซ้ำซากซากมันไม่ได้เป็นสิ่งแปลกใหม่แต่อย่างใดแต่มันได้บ่งบอกถึงความผิดพลาดในการใช้ชีวิต เรียกง่ายๆว่าเจ็บไม่จำ คงต้องให้เวลาที่มากกว่าคนอื่นเพื่อที่จะเรียนรู้ไปกับมัน 

เวลาที่ไม่เคยพอสำหรับคนล้าหลังทางอารมณ์
คนเราเสียเวลาไปกับการทำงานเกือบค่อนชีวิต แต่ถ้าไม่ทำงานก็จะขัดแย้งกับกระแสสังคมที่เน้นวัตถุนิยมอย่างทุกวันนี้ ดังนั้นเราจึงต้องแสวงหางานที่เป็นตัวของเรามากที่สุดเพราะเราจะได้ใช้เวลาเกือบค่อนชีวิตอย่างมีความสุข เวลาให้กับสิ่งฉาบฉวยนั้นเราให้กับมันได้มากกว่าเวลาที่จะต่อเติมความมั่นคงให้กับชีวิตแต่เราๆกลับไม่ทำไม่คำนึง

เวลาที่ไม่เคยพอของชายในเงาจันทร์

วันอาทิตย์ที่ 15 สิงหาคม พ.ศ. 2553

เริ่มต้นกับการทำงานและงาน และงานใหญ่ๆอีกหลายอย่างที่ต้องทำให้แล้วเสร็จในเวลาอันใกล้เพราะทุกวันที่ผ่านไปมันคือเวลาที่สูญเสียไปกับสิ่งที่เรียกว่าอุปสรรคด้านมิติเวลาที่คอยฉุดรั้งความสำเร็จในชีวิต เราต้องทะลุมิติกำแพงเวลาเหล่านี้ไปให้ได้รวบรวมสรรพกำลังต่างๆยกเว้นกิจกรรมที่บั่นทอน เป้าหมาย รายล้อมด้วยบรรยากาศที่ฝักใฝ่ในการงาน จึงจะทำให้วิกฤตนี้ผ่านไปได้
1. คีย์ข้อมูล ทำบทที่4-5 วิทยานิพนธ์ให้เสร็จ
2. ทำงานที่เป็นกิจวัตรให้ผ่านไปอย่างดี
3. พักเรื่องรักเรื่องรกเรื่องราวในใจไว้ก่อนให้ได้

ภารกิจหลักที่เร่งด่วนยิ่งกว่าภารกิจใดๆของรัฐบาล

วันพฤหัสบดีที่ 12 สิงหาคม พ.ศ. 2553

วันแม่แห่งชาติ

วันที่ได้กลับมาสู่อ้อมกอดของแม่ วันที่พักเรื่องราวโลกีย์ในชีวิต กลับมาสนใจครอบครัวที่ผุพัง แต่วันนี้ก็เป็นวันที่มีความสุขอย่างเรียบเรียบ แม้ไม่มีสาวๆเข้ามาพัวพัน แต่ก็ได้รับบรรยากาศแห่งความอบอุ่นที่โหยหา วิเศษดีแท้ กินกับข้าวฝีมือแม่ ได้นอนหลับพักผ่อนอย่างไร้ความกังวล ถึงแม้จะโทรหา สาวๆขาประจำไม่ติด แต่ก็ไม่ได้ทำให้เราหงุดหงิดงุ่นง่าน จนลืมสัญญาณแห่งชีพที่แท้จริง

ผ่อนพักตระหนักรู้ในวันเบาๆ ชิว พรุ่งนี้ค่อยลืมตาเข้าสู่โหมดแห่งความหวือหวาในโลกโลกีย์สีดำกันต่อไป

วันจันทร์ที่ 9 สิงหาคม พ.ศ. 2553

วันที่ฉันกลัว

มีชีวิตเพื่ออะไร มันหมดความหมายเมื่อไร้เธอ

ชีวิตแต่ละวันไม่ง่ายเลยที่จะฟันฝ่ามันไป สิ่งที่คิดวางแผนไว้ต้องเผื่อ error ตลอดเวลา มันมีความคลาดเคลื่อนที่เป็นมาตรฐานอยู่ตลอด เมื่อมาเจอกับความผิดหวังซ้ำซากบางครั้งก็ยากจะทำใจแต่มันต้องไปต่อ เพราะชีวิตเราเกิดมาเพื่อที่จะต่อสู้เรียนรู้กับความเจ็บปวด ในวันที่จิตใจต้องเผชิญกับความรู้สึกแบบนี้ไร้รักไร้ความรู้สึกที่จริงใจมันอ้างว้างอย่างบอกไม่ถูก คงเป็นกรรมที่ต้องชดใช้ในเวลาอันรวดเร็ว มันก็เป็นแบบนี้ชีวิตที่ต้องไปต่อโดยลำพังกับชีวิตที่ผุพัง เสเพล เมื่อไรจะพบแสงสว่างปลายอุโมงค์อย่างแท้จริงซักที

วันศุกร์ที่ 6 สิงหาคม พ.ศ. 2553

My misery

คืนนี้ไม่รู้เป็นอะไรอยู่ดีๆ อยากมองที่ดวงดาว...จริงไหมเรื่องที่เคยได้ยินเกี่ยวกับดาวอยากรู้ว่าจริงไม่จริง

วันนี้เป็นวันที่ไม่ได้กลับเชียงราย เพราะเกิดเหตุเรื่องที่ คณะครุ แม่งยังไม่ได้ให้คณะบดีบัณฑิตเซ็นต์กูละเซ็งเพราะมึงไม่เซ็นต์ ไปอินโดคะยังไม่กลับมาเซ็นต์ให้คงอาทิตย์หน้านะคะ กูรอมา3อาทิตย์ละ ชาวบ้านชาวช่องเค้าไปถึงดาวอังคารกันละแม่ง ยังไม่ถึงไหนเลยแล้วเมื่อไรกูจะจบวะเนี่ย แต่วันพรุ่งนี้จะไปส่ง เอกสาร EMS ให้ผู้เชี่ยวชาญ 2 ท่าน ที่ ม เกษตร กะ ราชภัฎพิบูลสงคราม คงทำให้งานคืบหน้าไปได้บ้างแต่ต้องมารอเรื่องที่ตามไปนี้ดิมันเซ็งจิตจริงๆ จนชาวบ้านเค้ารัน วิเคราะห์กานหมดละกรูยังได้แบบสอบถามไม่ครบเล๊ย เฮ้อ

คืนนี้มีโทรสับมาชวนกูยิกเลยน้า ร้านโต่งนี่พี่ไปจนร้องได้ทุกเพลงละ 2 วงที่มันขึ้นเล่นอ่ะ ตังอยู่ในร้านนั้นหลายหมื่นแล้วมั้ง น้องเพิ่งมาชวนพี่ไปเหรอน้องฟ้า เหอๆๆ เหนื่อยอ่ะนะเดวต้องเตรียมเล่นดนตรีวันเสาร์ด้วยเลยไม่อยากไป เที่ยวกานให้สนุกนะคะน้องๆ

การได้ไปหาเวที ออดิชั่นให้สนอง Need ตัวเองนี่ก็ดีเหมือนกานจะได้ทำสิ่งที่เราชอบแถมได้แหลกเหล้าฟรีอีก ชอบเจงๆ เหอๆๆ ต้องขอบคุณคุณพี่สมจิตร อาร์ตตัวแม่ที่เปิดโอกาสให้Duoคู่ใหม่ได้แจ้งเกิด
ใครว่างก็เชิญชวนนะครับที่ร้านสุดสะแนน แถวสุกี้โคคา ศรีธนาพาณิช เชียงใหม่รินคำ ทุ่มนึงเป็นต้นไป
หลับก่อนน้าวันนี้ง่วงจริงปิดเสียงโทรสับ รำคาญ ใครอยากเที่ยวก็เชิญกรูเบื่อแล้ว....

ปล.ถ้าสาวงามๆมีเหตุจูงใจให้ไปก็ว่าไปอย่าง555

วันพฤหัสบดีที่ 5 สิงหาคม พ.ศ. 2553

หนุ่มน้อยกระจกเงา ตอนที่1/2

วันใหม่แห่งการเริ่มต้นที่ ขุ่นมัวไปด้วยสายฝนพรำ กับการทำงานที่เริ่มต้นอีกครั้งอย่างจำเจ
แต่เต็มเปี่ยมไปด้วยความหวังและเจือปนความหลังที่เดียวดาย ทุกอย่างคงดำเนินไปตามรอบและวัฏจักรที่คุ้นชิน
เย้นวันนี้ได้มีโอกาสพบปะพูดคุย แชร์ประสบการณ์ในเรื่องราวที่หลายหลายต่างมุมมองของเด็กหนุ่มน้อยอีก2 คนที่มีอุดมการณ์
และความหวัง ความสดที่มีพลัง 2 ฟากฝั่งที่ขบคิดแลกเปลี่ยนไปมาเหมือนสายฝนที่กระหน่ำในช่วงเย็น กับร้านเพิงเล็กๆริมทาง
ที่อบอวลไปด้วยถ้อยคำสนทนาและเสียงเพลงคลอแผ่วเบา ชิิวๆ กรรมการมวยที่กำลังชงประเด็นและห้ามปรามแทรกในหลายประเด็นที่ 2 หนุ่มต่างพูดคุยถึงสิ่งต่างๆรอบตัวที่พบเจอทั้งในการเรียนและการทำงานที่ผ่านมาอย่างออกรส ทำให้ได้เรียนรู้สิ่งละอันหลายอย่างในสายงานช่างที่สองฟากของโต๊ะกำลังถ่ายทอดเสียงและท่าทางกันอย่างเมามันในอารมณ์และในรสชาติของเบียร์

เหมือนหนุ่มน้อยกระจกเงาได้กระโดดขึ้นมาจากอ่างปลาที่หลายๆตัวในอ่างว่ายวน จนหาหนทางไม่เจอสับสนและค้นหาว่าแท้จริงแล้วต่างต้องการสิ่งใด เด็กหนุ่ม 2 คน ก็มีแนวคิดที่ใช้ได้ในแง่มุมที่ต่างไปกับขีดจำกัดที่ตนเองสร้างขึ้นแต่อย่าลืมว่าโลกใบใหญ่นี้ยังมีสิ่งต่างๆที่เป็นปัจจัยในการทำความฝันให้สำเร็จอีกหลายขั้น จงเรียนรู้ที่จะยอมรับและเปิดใจกับสิ่งที่จะทดสอบเราในแต่ละช่วงเวลาเชื่อว่า น่าจะทำให้เข้าใกล้ฝั่งฝันเข้าซักวัน ขอยืมคำของโฆษณาชิ้นหนึ่งของสิงห์มาให้กับเด็กหนุ่มทั้ง2"ตีลูกให้ไกลถึงดวงจันทร์ ถึงพลาดพลั้งก็ยังอยู่ท่ามกลางดวงดาว"

ค่ำคืนนี้ก็จบลงไปอีก 1 วันที่เมามายไปด้วยถ้อยคำ ความฝันใฝ่ แรงบัลดาลใจ และรสของข้าวบาร์เล่ย์ที่หอมกรุ่น
หลับลงได้แล้ว อ่าวเป็นต่อออกแล้ว เจ๊มิ้นจะท้องป่าววะเนี่ย นั่งดูได้ซักตอนก็เผลอหลับไป ครอกZZZzzzzzz

วันพุธที่ 4 สิงหาคม พ.ศ. 2553

หนุ่มน้อยกระจกเงา ตอนที่1

ความรักความหวังทั้งหมดที่พยายามรวบรวมทั้งความรู้สึกความไว้ใจความเสียใจต่างๆได้เกิดขึินเหมือนภาพซ้ำที่ฉายผ่านสายตาพร้อมๆไปกับผู้หญิงมากมายที่ผ่านเข้ามาในช่วงเวลาต่อจากวันนั้นที่เด็กชายกระจกเงาพยายามลืมสิ่งที่เมื่อย้อนไปแล้วปรากฏร่องรอยความผิดพลาดที่เกิดจากความไม่พอของตัวเองทั้งนั้นการไม่สามารถที่จะร้องทุกข์กล่าวโทษต่อฟ้าดินหรือเหล่าเทวดาหน้าอินทร์หน้าพรหมที่ไหน
จะออ้นวอนทั้ง 16 ชั้นฟ้า 15 ชั้นดิน 18 บาดาล ก็คงไม่มีเทพเจ้าองค์ใดมายกโทษให้และทำให้ทุกอย่างกลับมาเป็นเหมือนเดิม เมื่อทบทวนดูอีกทีชีวิตคงสนุกเกินไปกับสิ่งที่ได้กระทำไปทุกอย่าง ถ้าไล่เพลงเพลงนึงของน้องกระแตที่มี ญ สาวชื่อน่ารักๆมากมาย หนุ่มน้อยกระจกเงาแทบจะกวาดเรียบ เดวแคท เดวแตง ทั้ง จุ๊บ ทั้งแจง หน่อย ติ๊ก + เดวเปิ้ล เดวดา ทั้งตุ๊กตา ไก่ นิด รู้ไหมว่ามีกี่กิ๊กที่ยัง บ่ เปิดเผย เฮ้อ ตัดพ้อตัวเองถึงความบัดซบที่เกิดขึ้นกับชีวิตเสเพล นั่งเหม่ออยู่ในภวังค์ของอารมณ์ ในแมนชั่นเล็กๆ ที่ไร้ความอบอุ่น
วันนี้กำลังผ่านไปอีกวันแล้วซินะที่ต้องอยู่อย่างโดดเดี่ยว (ข่าว 3 มิติ เจาะลึกจังหวัดที่ 77 คือจังหวัดบึงกาฬ แยกตัวออกจากหนองคาย จบข่าว) เปิดทีวีดูข่าวเพื่อผ่อนคลายความเหนื่อยล้า ความเหงา เมื่อสายฝน คนเหงามาพบกัน ความเหนื่อยล้าเข้ามาปกคลุมจากการงานและสิ่งต่างๆที่ยังคงค้างคาในชีวิต ก็ทำให้หนุ่มน้อยพล้อยหลับไปท่ามกลางเสียงฝนกระหน่ำ สะท้อนผิวซีเมนต์ นี่คงเป็นเสียงที่เคยคิดฝันไว้ใช่ไหม ถามใจตัวเองก่อนจิตใต้สำนึกจะเผลอเรียกตัวเองในนิมิตอันยาวนาน Zzzzzz to be continue

เด็กชายกระจกเงา ตอนที่ 3

หลังจากผมเรียนจบในเดือน มีนาคม ปี 49 ผมก็คิดอะไรไม่ออกไม่ได้มีแผนอะไรเลยแต่ได้
เกริ่นกับแม่ไว้บ้างแล้วว่าจะมาอยู่ด้วยแต่ใจจริงก็อยากไปทำงานที่ กทม. กับเพื่อนๆโดยได้มีโอกาสไปสัมภาษณ์งานที่บริษัท มินิแบร์ ในตำแหน่งนักวิเคราะห์ข้อมูลซึ่งมีรุ่นพี่ที่จบสถิติทำงานอยู่ แต่จนแล้วจนรอดผมก็ไม่ได้ไปทำงานที่บริษัทนี้เพราะเหตุปัจจัยทางด้านครอบครัวก็คือที่เชียงราย ตาป่วยหนักแม่ก็ดูแลไม่ไหวอยากให้ผมมาอยู่ด้วยกันปรากฏว่าผมก็ไปโรงเรียนกับแม่ที่ อำเภอเวียงชัยอยู่ 2 อาทิตย์ด้วยความบังเอิญผมเล่นอินเทอร์เน็ต ก็ไปเห็นที่โรงเรียนวิรุณบริหารธุรกิจและเทคโนโลยีเชียงรายรับสมัครครูสอนคณิตศาสตร์ในตอนนั้นผมไม่มีความคิดอยู่ในหัวเลยว่าจะมาเป็นครูสอนหนังสือเพราะเห็นแม่เป็นครูไปโรงเรียนกับแม่ตั้งแต่เล็กจนโตรู้สึกว่ามันเป็นอาชีพที่เหนื่อยและต้องเสียสละทุ่มเทอย่างมาก แต่แม่ก็ลองให้ไปสมัครดูเพราะอยู่เฉยๆเดี๋ยวจะลืมเรื่องที่เรียนมา จากนั้นวันรุ่งขึ้นผมจึงไปสมัครเค้ารับคนเดียวจากครูคณิตศาสตร์ 10 คน ผมก็สอบไปงั้นๆอาทิตย์ต่อมาก็ประกาศผลว่ารับผมผมจึงได้เริ่มงานในเดือนเมษาทันที เรียกได้ว่าจบมาไม่ถึงเดือนก็ได้ทำงานเป็นครูสอนวิชาคณิตศาสตร์และสถิติ อยู่ที่นี่ผมได้เรียนรู้การทำงานในสถานศึกษาในรูปแบบอาชีวะเอกชน ที่ผู้บริหารมีแนวคิดต่างออกไป ได้เรียนรู้งาน เพื่อนร่วมงานที่หลากหลายประสบการณ์การทำงานจริง การถ่ายทอดความรู้ให้เด็กนักเรียนนักศึกษาแรกๆก็อาศัยครูพักลักจำเอา แต่ระยะหลังก็เริ่มเรียนรู้จากการถามครูที่อยู่เดิมและกลับมาถามแม่บ้างแต่ก็มีอีกหลายเรื่องที่ยังไม่รู้เกี่ยวกับวิชาชีพครูแม่จึงแนะนำให้ไปเรียนวิชาชีพครูเพิ่มที่มหาวิทยาลัยราชภัฎเชียงรายในวันเสาร์และอาทิตย์ใช้เวลา 1 ปีก็เรียนจบได้ใบประกอบวิชาชีพครู ได้เรียนรู้หลักการจรรยาบรรณของความเป็นครูที่ไม่เคยรู้มาก่อนก็ทำให้มีจิตใจที่กว้างและเสียสละมากขึ้นใช้วิชาความรู้ที่ได้เรียนมามาปรับใช้ในการสอนทุกๆสัปดาห์เพราะเรียนวันหยุดพอวันสอนก็แอบเอาเทคนิคจากอาจารย์ที่สอนไปใช้กับนักเรียนที่โรงเรียน ได้เปิดโลกแห่งความเป็นครูเพราะได้รู้จักกับคนที่มีอาชีพเดียวกันมาเรียนในชั้นเดียวกันมีกิจกรรมร่วมกันมากมายจนมีเพื่อนกลุ่มใหญ่ที่ออกแนวสูงวัยเล็กน้อยถึงปานกลางทำให้ผมเริ่มรู้จักครูทั้งในเชียงรายและจังหวัดใกล้เคียงก็นับเป็นประสบการณ์ที่ดีและมีเจตคติที่ดีต่อวิชาชีพครูมากขึ้น จนผมเรียนจบวิชาชีพครูก็รู้สึกว่าอยากเรียนต่อเพราะเพื่อนๆหลายคนในเอกก็ไปเรียนต่อสถิติประยุกต์บ้าง ไอทีบ้าง จึงปรึกษาแม่และพี่สาวว่าอยากเรียนต่อพอจะไหวรึเปล่า พอดีช่วงก่อนหน้านี้พี่สาวก็แต่งงานและย้ายไปเรียนและทำงานอยู่ที่ต่างประเทศก็พอจะส่งผมเรียนต่อไหวผมจึงมองหาที่เรียนผมจึงเริ่มดูแนวที่ใกล้กับผมที่สุดก่อนคือสถิติประยุกต์ที่ ม.ช. ปรากฏว่าเปิดแต่ภาคปกติ นั่นหมายถึงผมต้องลาออกเพื่อไปเรียนต่อทั้งที่ทำงานได้ปีเดียวก็เสียดายงานและประสบการณ์และอีกประเด็นเพื่อนบอกว่ามันค่อนข้างยากเพราะผมก็ไม่แม่นเรื่องสถิติเท่าไหร่ถ้าเปรียบเทียบกับเพื่อนๆที่กำลังเรียนอยู่ที่ ม.ช.จึงหันมาดูที่เป็นภาคพิเศษเรียนวันเสาร์และอาทิตย์ก็มีที่ ม.น.พะเยาเป็นเอกไอทีสารสนเทศแต่พอเข้าไปดูหลักสูตรมีแต่การเขียนโปรแกรมเป็นพื้นฐานซึ่งผมก็เป็นไม้เบื่อไม้เมากับการเขียนโปรแกรมมาตลอดเพราะผมจะถนัดเป็น User ที่ดีมากกว่าจึงมามองที่มหาวิทยาลัยราชภัฎเชียงรายเพราะใกล้บ้านและติดใจในบรรยากาศตั้งแต่เรียนวิชาชีพครูจึงดูว่าพอมีคณะไรเอกอะไรบ้างที่ตรงและใกล้เคียงกับหัวสมองอันน้อยนิดของผมปรากฏว่าก็มาลงเอยที่คณะครุศาสตร์สาขาวิจัยและประเมินผลการศึกษาเพราะผมได้กลิ่นอายของสถิติโชยมาผมจึงเลือกเรียนและก็ไม่ผิดหวังผมได้รับความรู้ประสบการณ์ที่ดีได้รู้จักข้าราชการครูจากหลายแหล่งหลายพื้นที่บางท่านก็เป็นรุ่นพี่เพื่อนแม่บ้างเป็นระดับผู้บริหารบ้าง การเรียนก็เป็นวิชาที่ผมเคยเรียนมาบ้างในสมัยป.ตรีจึงไม่ต้องปรับตัวมากเท่าไรจึงรู้สึกมีความสุขตลอดในการมาเรียนวันเสาร์และอาทิตย์ ในช่วงนี้เองผมก็ได้พบกับรักครั้งล่าสุดหลังจากที่ทำตัวเพลย์บอยเสเพลมาระยะหนึ่ง เธอเป็นคนที่มีจิตใจดี คุยกันรู้เรื่องแบบว่าโตๆกันแล้วจึงเข้าใจอะไรๆกันได้รวดเร็ว แล้วก็คุยกันแบบเปิดเผยทำให้เรารู้สึกดีต่อกันสนิทใจเราจึงคบกันมาเรื่อยๆจนเข้าสู่ปีที่สองแล้วแต่นานๆเราจะเจอกันเพราเธอทำงานอยู่ที่ กทม เราจึงเจอกันเดือนละครั้งสองครั้ง ระหว่างทางที่ไกลกันก็มีเรื่องที่มาทดสอบเราตลอดเวลานั่นก็หมายถึงเรื่องผู้หญิงนั่นเองที่เข้ามาทดสอบผมจนเรามีปัญหากันหลายครั้งจนครั้งล่าสุดที่ร้ายแรงที่สุดเพราะมันเกิดขึ้นตอนที่ผมบวชพอดีซึ่งเกือบจะทำให้เราต้องเลิกกันเพราะความไม่รู้จักพอของผมเอง แต่เธอก็ให้อภัยผม หลังจากนั้นมาผมก็รู้สึกว่าทำผิดกับคนที่เรารักและรักเรามากจึงไม่อยากทำให้เราต้องมีปัญหากันอีกจึงลดละเลิกพฤติกรรมเสี่ยงทั้งหลายตั้งใจเรียนตั้งใจทำงาน ให้ดีที่สุดต่างคนต่างทำหน้าที่กันไปไม่ได้คาดหวังว่าเราต้องมาอยู่ด้วยกันในระยะเวลาอันใกล้เพราะผมก็ยังต้องมีอะไรที่อยากทำอีกมากอยากจะเรียนต่อถ้ามีโอกาสตอนนี้ผมก็ทำงานและเรียนในปัจจุบันให้ดีที่สุดส่วนเรื่องอนาคตก็เริ่มคิดไว้บ้างแต่ก็ไม่จำเป็นต้องตายตัวผมอยากไปเรียนต่อในมหาวิยาลัยเชียงใหม่ในสาขาวิจัยการศึกษา แต่ก็รู้ว่ามันเป็นเรื่องยากมากเพราะผมจะต้องทุ่มเทอ่านหนังสือสอบทำวิทยานิพนธ์และเกรดให้ดีเพื่อโอกาสในการเรียนต่อแต่ผมก็โชคดีกว่าหลายๆคนที่ไม่ได้มีพันธะอะไรในเรื่องครอบครัว เรื่องหนี้สิน หรือเรื่องที่ต้องรับผิดชอบอะไร และยังมีแม่และพี่สาวหนุนหลังอยู่ ผมจึงน่าจะมีโอกาสในการเรียนต่อให้สูงที่สุดอย่างที่ตั้งใจไว้ ส่วนการทำงานที่วีแบคก็เข้าสู่ปีที่4 ซึ่ง ก็เริ่มอิ่มตัวเพราะต้องยอมรับว่าที่แห่งนี้เป็นที่ที่เป็นเพียงแหล่งพักพิงเติมเต็มประสบการณ์แต่ไม่ใช่ที่ที่จะหาความก้าวหน้าที่ยั่งยืน เพราะทุกๆเทอมจะมีครูเก่าลาออกและครูใหม่เข้ามาหมุนเวียนอยู่ในที่แห่งนี้ปีแล้วปีเล่ารุ่นแล้วรุ่นเล่า ผมก็คงเป็นอีกคนที่จะเริ่มนับถอยหลังถึงวันลาจาก เพื่อไปหาสิ่งที่ท้าทายและตามความฝันของตัวเอง ชีวิตผมค่อนข้างผ่านอะไรๆมาเยอะเรียกว่า “เจ็บมาเย๊อะ” เหมือนที่สมจิตร จงจอหอบอกไว้จึงมีความคิดความอ่านที่ค่อนข้างชัดเจน มองอะไรๆขาดและมักพาตัวเองไปอยู่ในจุดที่ได้เปรียบก่อนใครๆเสมอแต่ก็ไม่ได้ออกแนวเห็นแก่ตัวเพราะผมรู้ดีว่าทุกสิ่งทุกอย่างก็เป็นเช่นนั้นเอง ยิ่งเอาตัวเข้าไปผูกติดกับปัญหาไม่ลดราวาศอกก็มีแต่จะบั่นทอนชีวิตที่สวยงาม การมาเรียนปริญญาโทนอกจากจะได้ความรู้ได้ยกระดับตัวเองแล้วผมยังได้แนวคิดในการใช้ชีวิตอีกมากมายจากการเรียนการร่วมกิจกรรมต่างๆของสาขา ทำให้มองอะไรๆกว้างขึ้น รู้จักผ่อนสั้นผ่อนยาว เติมเต็มในสิ่งที่ขาดอย่างมีสติ รู้จักรักในสิ่งรอบรอบตัว ใช้ชีวิตอย่างกว้างขวางมากกว่าจะใช้ชีวิตแบบเชิงลึก เพราะจะทำให้เราได้ประสบการณ์ดีผ่านเข้ามาทุกวินาทีที่เราหายใจ สิ่งที่ผ่านเข้ามาในชีวิตคือสิ่งที่ทำให้เราเข้มแข็งไม่ว่าจะเป็นสิ่งที่ดีหรือร้าย เพราะฉะนั้นอย่าลืมสิ่งที่หล่อหลอมให้เราเป็นอยู่แบบทุกวันนี้ ถึงตรงนี้ทำให้ผมนึกถึงเนื้อเพลงของวง Slot machine ชื่อเพลงผ่าน ซึ่งมีเนื้อหาที่ดีสอนสิ่งต่างๆให้ผมมากมาย โดยเนื้อหาเพลงมีดังนี้
ไม่ว่าเจอสิ่งใด เนิ่นนานไปก็แปรเปลี่ยน สักวันเคยวิ่งตามความฝัน แต่บางครั้งก็ต้องหยุด แค่นั้นเมื่อก่อนเคยรัก เคยผูกพันแต่มาวันนี้มันเป็นเพียง คนเคยได้รู้จักกัน
วันนี้มีสุขใจ แต่ต่อไปสักวันคงวุ่นวายหากความทุกข์ทนจางหาย อาจมองเห็นความสุข อีกครั้ง
จึงทำให้ฉัน ได้เข้าใจ ทุกสิ่งเปลี่ยนผันสักเท่าไรฉันจะก้าวเดินต่อไป
อย่าลืมเรื่องราวที่ผ่านที่เคยได้เจ็บช้ำยังมีเรื่องราวที่ดีที่เคยได้จดจำเก็บคืนและวันที่ผ่านที่เคยได้ปวดร้าว ยังมีเรื่องราวที่ดีที่รอให้จดจำ
ถึงตอนนี้ชีวิตผมก็เหมือนกับเรือลำเล็กๆที่ล่องลอยอยู่ในท้องทะเลกว้างใหญ่ มีเพียงผมอยู่ท่ามกลางทะเลนั่นเพียงลำพังก็หมายถึงผมอยู่ระหว่างสิ่งต่างๆทั้งครอบครัวของพ่อ ครอบครัวของแม่ (แม่ผมแต่งงานใหม่ได้4 ปี) และครอบครัวของพี่สาว ผมจึงเรียนรู้สิ่งต่างๆตามสัญชาตญาณของตนเอง ก็ไม่รู้ว่าอนาคตจะเป็นแบบที่คิดไว้หรือไม่ผมก็อยากจะทำให้ตัวเองพร้อมที่สุดทั้งด้านชีวิต การศึกษา แนวคิด เศรษฐานะ เพื่อใครซักคนที่จะมาเติมเต็มชีวิตที่แตกหักผุพังของผมให้สมบูรณ์ในมิติหลายๆด้าน แต่ก็ไม่รู้ว่าจะใช่คนๆนี้รึเปล่า ผมคิดว่าสิ่งที่ผมเป็นอยู่ทุกวันนี้มันดีในระดับนึงแต่ก็ไม่รู้ว่าจะมีอะไรมาเปลี่ยนแปลงชีวิตผมอีกรึเปล่า การเข้าใจชีวิตของผมอาจจะอยู่ในระดับดีแต่สิ่งที่มาท้าทายก็คือ สภาพแวดล้อมผู้คน สิ่งที่ไร้เหตุผลนั่นคืออารมณ์ จะทำให้ชีวิตผมอาจต้องสะดุดหกล้มอีกหลายครั้ง แต่นั้นผมก็พร้อมที่จะเผชิญ และเฝ้ารอมันอย่างไม่ประมาท ท้ายสุดก็คงต้องปล่อยให้มันเป็นไปตามเหตุและผล ต้องยอมรับความแตกต่างทั้งภายในและภายนอก เพราะทุกๆคนก็มีเหตุผลของตนเอง และมักจะหาเหตุผลเพื่อสนับสนุนตนเองอยู่เสมอ เราจึงต้องคอยเตือนจิตใจตนเองไม่ให้หลงในวัฎจักรแห่งความเสื่อมเพื่อไปอยู่ในจุดที่เรียกว่าความสุข ก็คงต้องเฝ้าดูมันต่อไป เพราะผมก็เพิ่งอยู่ในวัยเบญจเพสคงต้องได้รับการทดสอบจิตใจอีกมากจากโลกใบนี้

เด็กชายกระจกเงา ตอนที่ 2

ตลอด4 ปีที่ผมอยู่ในรั้วมหาวิทยาลัยนเรศวร จังหวัดพิษณุโลกมีทั้งสุขและทุกข์จากนานาปัญหา เรื่องราวต่างๆ มีช่วงเวลาที่ประทับใจ เศร้า อิ่มเอมไปกับบรรยากาศต่างๆผ่านกิจกรรมดีๆที่เกิดขึ้น เริ่มจากตอนปีหนึ่งน้องใหม่มีการเข้าห้องเชียร์ของ ม.น. โดยผมอยู่ห้องเชียร์คณะวิทยาศาสตร์ซึ่งก็ขึ้นชื่อเรื่องความโหดมันฮาอยู่แล้ว แต่ผมไปเข้าวันแรกก็รู้สึกว่ามันไม่ใช่ไม่ใช่แนวผม อีกปัจจัยนึงคือแฟนหวงมาก คือพูดง่ายๆงี่เหง้ามากไม่ให้ผมทำกิจกรรมไรเลยให้เรียนแล้วรีบกลับบ้าน ผมก็เลยทำให้เพื่อนๆที่อยู่รอบๆผมเดือนร้อนในวันที่สองเพราะจากนั้นผมไม่เคยเข้าห้องเชียร์อีกเลย จนวันสุดท้ายอีกประมาณหนึ่งเดือนต่อมาผมจึงเข้าไปปิดห้องเชียร์ ถึงขนาดพี่รหัสเอือมระอาเพราะเอาข้าวเอาขนมมาให้ผมเกือบทุกวันแต่ผมดันไม่เคยโผล่หน้าไปเลย จนระยะต่อมาผมเริ่มเบื่อกับแฟนสาวที่ไม่ค่อยเข้าใจเพราะเด็กอาชีวะ พาณิชย์ จะมีอีกอารมณ์อีกความคิดนึงซึ่งออกแนวไม่เข้าใจเราเท่าไร ผมจึงหาเรื่องเลิกแต่เพื่อความแนบเนียน บังเอิญขณะนั้นสาวพยาบาลผู้ถือป้ายคณะพยาบาล หมวย เอกซ์ ดันตาถั่วมาขอเบอร์ผมที่เพื่อนในเอกสถิติที่อยู่บ้านเดียวกับสาวเจ้า หลังจากนั้นผมก็สานสัมพันธ์เรื่อยมาจนคบกันเป็นแฟนกันในปีหนึ่งตอนปลายๆ ขณะนั้นสาวอาชีวะก็มีบ่าวใหม่ผมก็เลยรอดตัวอย่างชิวๆ ผมคบกับสาวพยาบาลโดยพ่อแม่รับรู้เพราะผมไม่ได้อยู่หอพักแต่อยู่บ้าน พ่อที่อยู่ใกล้ม.น. เพียง 4 กิโลเมตรเท่านั้นจึงขี่รถไปเรียนไปกลับทุกวัน และแน่นอนเด็กวัยรุ่น นักศึกษาหนุ่มสาวก็นิยมอยู่ด้วยกันเป็นคู่ๆผมก็เช่นเดียวกัน พาเธอมาอยู่บ้านด้วยกันแต่เช่าหอพักไว้ที่ ม.น. เพราะเอาไว้เก็บของของหล่อนพอเวลาพ่อแม่เค้ามาเยี่ยมลูก ก็เนียนกลับไปนอนที่หอกับเพื่อนพยาบาลของเธอ เป็นแบบนี้อยู่ตั้งแต่ปีหนึ่งถึงปีที่สามปลาย เมื่อเธอเรียนทฤษฎีสองปีพอปีสามก็กลับไปฝึกงานที่โรงพยาบาลสวรรค์ประชารักษ์ จังหวัดนครสวรรค์ ช่วงนั้นเราก็เริ่มมีปัญหากันคือเธอมีหนุ่มมาติดพัน และก็แอบมีแฟนใหม่โดยที่ผมไม่รู้ตัวเลย ก็เลยมีเรื่องระหองระแหงกันอยู่จนผมรู้สึกว่าผิดปกติจึงตามไปหาที่นครสวรรค์โดยที่ไม่ให้เธอรู้ตัวและก็แอบไปเห็นกลางดึกคืนนั้นเธอปีนออกจากหอพักพยาบาลด้านหลังเพื่อไปเที่ยวกับหนุ่มคนใหม่ผมแอบอยู่ที่ตู้โทรศัพท์หลังหอพัก เต็มๆเลยครับเป็นความรู้สึกที่พูดไม่ออกบอกไม่ถูก เหมือนจุกเสียดเน้นท้อง แต่ไม่ต้องกินยาธาตุเพราะมันจุกแบบว่า โหแม่งแรงว่ะ ไม่นึกว่าหล่อนจะกล้า ผมก็แอบคิดในใจว่าของเค้าแรงจริงๆ กลับมาจากนครสวรรค์วันรุ่งขึ้น ไม่เป็นอันเรียนเลยครับ กินไม่ค่อยได้ นอนไม่หลับ กระสับกระส่าย ไตพิการ อาหารไม่ย่อย โอ๊ยสารพัดจนกระทั่งเวลาผ่านไปผมก็เริ่มทำใจได้บ้างไม่ได้บ้าง หลายเดือนต่อมาเธอก็กลับมาหาผมแต่คราวนี้มันต่างออกไป ผมไม่ได้รู้สึกกับเธอเหมือนเก่าแต่เธอก็ดูเหมือนจะสำนึกผิดจึงรักผมมากกว่าเดิมแต่มันสวนทางกับผมที่รู้สึกกับเธอ จนกระทั่งปี 4 ผมก็ห่างกับเธออีกครั้งคราวนี้ผมก็เริ่มออกลายอีกครั้งอาจเป็นเพราะความเจ็บแค้นที่เธอเคยทำไว้ผมก็เลยรู้สึกอยากแก้แค้นเธอจึงไปจีบรุ่นน้องพยาบาลซึ่งดีกรีเป็นหรีดคณะพยาบาลคงไม่ต้องบรรยายถึงความน่ารักของน้องคนนี้ซึ่งมันก็ได้ผลเพราะน้องเค้าก็แรงจริงก็เล่นด้วยกับผมจนเกิดวีรกรรมที่ผมนึกแล้วก็ตลกตัวเองว่า โหผมหน้าเหมือนโดม ปรกณ์ ลัมรึไง ถึงมีนักศึกษาพยาบาลรุ่นพี่รุ่นน้องตบกันสนั่นหอพักพยายบาลที่นครสวรรค์ ไอ้ผมอยู่ที่พิษณุโลกรู้ข่าวเข้าก็แทบบ้า แต่ออกแนวบ้าจี้หลังจากนั้นผมก็เริ่มยุติความสัมพันธ์กับสาวๆ แต่มันก็มีเข้ามาอยู่เรื่อยๆเป็นลักษณะ After shock คือมาเป็นระลอกแต่ไม่ได้จริงจังหนักแน่นอะไรกับใคร ใครที่อ่านมาถึงตรงนี้คงนึกว่าชีวิตนี่มีแต่ด้านมืดของอิสตรี แต่ในอีกหลายมิติผมก็ไม่ได้เลวร้ายไปซะหมด อย่างเรื่องการเรียนในปีหนึ่งผมก็ทำเกรดอยู่ในระดับปานกลางเอาตัวรอดเพราะต้องตัดเกรดรวมกับหลายๆคณะ แต่พอเริ่มเข้าวิชาเอกเกี่ยวกับคณิตศาสตร์และสถิติผมก็ทำเกรดได้อยู่ในระดับดีเฉียดสาม บางเทอมก็สามกว่า ซ่งมันก็มากจากความขยันและเพื่อนๆที่ช่วยๆกันทำให้เรากระตือรือร้น แต่เหตุการณ์ที่ผมประทับใจที่สุดด้านการเรียนก็คือ ในปีสองผมเรียนวิชาแคลคูลัส และต้องเรียนรวมกับหลายคณะเป็น Sec ใหญ่ ผมสามารถทำคะแนนสอบแคลคูลัสได้100 เต็ม 120 สูงสุดในSec ที่มีอยู่ร้อยกว่าคน ตอนขานคะแนนผมนี่ตัวลอยเลยเพราะสาวๆหันมามองเกรียวกราว บางคนก็ว่าผมมั่วถูกแต่มันเป็นวิธีทำหมดใครจะเดาได้ ซึ่งก่อนหน้านั้นผมซุ่มอ่านทำแบบฝึกหัดอย่างหนักมากและมันก็ได้ผลตอบแทนที่หอมหวาน ส่วนวิชาอื่นๆในเอกผมก็ทำได้อยู่ในแถวหน้าของเอกแต่ก็อ่อนเป็นบางเรื่องเพราะติดขี้เกียจบ้างไม่ละเอียดบ้าง แต่ผมก็เอาตัวรอดมาตลอดในเอกผมจะให้ทำทั้งสองอย่างคือฝึกงานด้วยและกับมาทำ Project ด้วยซึ่งปัจจุบันให้เลือกอย่างใดอย่างหนึ่ง นับเป็นเรื่องที่โชคดีที่ผมได้ทั้งประสบการณ์การฝึกงานและกลับไปทำ Project โดยผมฝึกงานที่จังหวัดเชียงรายกลับสำนักงานตัวแทนประกันชีวิต AIA ของคุณขจร เภาเจริญ ซึ่งเป็นเพื่อนแม่ตอนนั้นผมอยู่ปีสามซัมเมอร์จะขึ้นปีสี่ซึ่งเป็นจุดเริ่มต้นของความคิดที่จบแล้วจะมาอยู่จังหวัดเชียงรายเพราะจังหวะนั้นแม่ผมย้ายมาเป็นรอง ผ.อ.ที่จังหวัดเชียงราย ที่ ร.ร. ห้วยใคร้ และปัจจุบันอยู่ที่ ร.ร. เวียงแก้ววิทยา สพท. เชียงรายเขต 1 และแม่ก็อยู่กับตาที่แก่แล้วจึงคิดว่าถ้าเรียนจบอาจจะมาทำงานที่เชียงรายแต่ก็ไม่รู้จะทำอะไรเพราะยังเรียนไม่จบ ผมเรียนสถิติก็จริงแต่ฟิวของมันหลากหลายทั้ง Pure ทั้ง Research ,QC และสถิติประกันภัย ดังนั้นจึงเลือกมาฝึกงานที่บริษัทประกันชีวิตก็ได้ประสบการณ์มากมายในระยะเวลา 2 เดือน ได้เรียนรู้เกี่ยวธุรกิจประกันชีวิต ชีวิตตัวแทนประกันชีวิตฝีกบุคลิกการพูดคุย การมีปฎิสัมพันธ์กับคนรอบข้าง การเข้าหาคน เพราะก่อนหน้านี้ผมจะออกแนวเซอร์ๆเล่นดนตรีกับเพื่อนๆในเอกตอนปีสามโดยมีวงชื่อว่า STAT BAND ประกวดงานดนตรีต่างๆใน ม.น. โชว์ในงานต่างๆของคณะก็จะออกแนวไม่เรียบร้อย การมาฝึกงานที่นี่ผมก็ปรับปลี่ยนบุคลิกไปค่อนข้างมาก และพอกลับมาผมก็กลับมาทำ Project เกี่ยวกับการวิเคราะห์ปัจจัยของผู้เลือกทำและไม่ทำประกันชีวิตของประาชนในเขตอำเภอเมืองจังหวัดพิษณุโลก โดยใช้ Factor Analysis แบบ Exploratory ซึ่งก็ได้ความรู้เกี่ยวกับตัวสถิติและวิธีการทำวิจัยเบื้องต้นค่อนข้างมาก แต่ก็ทำในลักษณะกลุ่ม 3 คนจึงไม่ค่อยมีความเข้มข้นซักเท่าไรแต่ประสบการณ์ตรงจากการเก็บข้อมูลลงภาคสนามก็มีความทรงจำดีๆมากมายทั้งโดนหมาไล่ ควายขวิด หลงทางมากมายเพราะสุ่มตัวอย่างในอำเภอเมืองพิษณุโลกก็จริงแต่มันไม่ได้เจริญไปทุกซอกทุกมุมบางที่อำเภอเมืองก็จริงแต่ยังเป็นลูกรังอยู่ก็มากแต่ก็ได้รับรู้ว่าแบบสอบถามทุกชุดมีคุณค่ามากขนาดไหน จรรยาบรรณนักสถิติตอนนั้นค่อนข้างเข้มข้นมาก แต่ก่อนหน้านี้ผมก็ได้ทำงานวิจัยเล็กๆในมหาวิทยาลัยหลายชิ้น เช่น ศึกษาพฤติกรรมการเล่นพนันฟุตบอลของนักศึกษาชายใน ม.น. การทำวิจัยเรื่องนี้ทำให้ผมต้องเข้าไปคลุกวงในกลายเป็นเซียนบอลไปโดยปริยาย ถึงขนาดติดพนันบอลกันงอมแงมเลยทีเดียวแต่ก็เลิกได้ตอนเรียนจบนี่แหละครับ อย่างที่บอกว่าผมเล่นบอลดีตั้งแต่เด็กเมื่ออยู่ในรั้วมหาวิทยาผมก็เล่นบอลของคณะ ซ้อมบ้างได้ลงบ้าง ไม่ได้ลงบ้าง เพราะเมื่อโตขึ้นฟุตบอลมันก็มี Factor มากมายเรื่องของเส้นใครเข้าหารุ่นพี่บ่อยๆเรียกว่าเลียเก่งก็ได้เล่นบ่อย และผมก็ตัวผอมแรงปะทะน้อยจึงไม่ค่อยได้รับโอกาสเหมือนตอนเด็กๆที่เรื่องแรงปะทะเป็นปัจจัยรอง แต่ก็มีความสุขกับการเตะฟุตบอลในมหาวิทยาลัยยามเย็นทุกๆวัน ช่วงปีสี่ปีสุดท้ายนับเป็นช่วงที่มีความสุขที่สุดในชีวิตมหาวิทยาลัยเพราะไม่ค่อยมีเรียนไปหาอาจารย์เพื่อดูความคืบหน้า Project นานๆครั้งจึงทำให้มีเวลาว่างสังสรรค์กันบ่อยครั้งในหมู่เพื่อนฝูงและมีกิจกรรมร่วมกันมากมาย โดยยึดหลักความเสี่ยงและความน่าจะเป็น เช่น รัมมี่ ป๊อกเด้งเรียกว่า เล่นกันจนผ่อนมือถือกันเป็นเครื่องๆเลยที่เดียวแต่ที่ร้ายที่สุดคือเล่นกันจนเพื่อโดนรีไทน์ คือเพื่อนผมเรียนภาคค่ำพอพวกผมเลิกเรียนบ่ายก็จะชวนมันเล่นจนมันไม่ได้ไปเรียนจนโดนรีไทน์ตอนปี 3 ซึ่งพวกเารู้สึกผิดมากกับเพื่อนคนนี้แต่มันก็ไปเรียนใหม่ที่ กทม. แต่ทุกครั้งที่ติดต่อหรือเจอก๊วนเดิมๆก็จะมีวลีที่หลอกหลอนกันก็คือ “เฮ้ยระเบิดลงที่หอมาด่วน” นั่นหมายถึงระเบิดลงแล้วต้องมีการขาขาดเกิดขึ้น นั่นคือเรียกลูกขามาประจำการ นึกถึงแล้วยังได้กลิ่นผ้าห่มที่รองไพ่ มันก็เป็นประสบการณ์กับเพื่อนๆที่หาไม่ได้ที่ไหน และช่วงนั้นเองชีวิตผมก็เปลี่ยนอีกครั้งนึงก็เป็นเรื่องของชีวิตความรักนั่นเองหลังจากที่เว้นว่างโสดอยู่หลายเดือนจนกระทั่งความบังเอิญทำให้ได้เจอกับรักครั้งใหม่แต่กับคนเก่าตั้งแต่สมัยเรียน ป. 2 ไม่น่าเชื่อว่าจะยังได้กลับมาคบกันอีก วันนั้นผมปวดท้องมากกำลังจะไปดูบอลที่หอเพื่อนหลังมอ ปวดมากเลยแวะไปหาหมอที่ รพ. ม.น. ก่อนเพื่อไปตรวจและเอายาไปกินแต่ปรากฏว่าเหตุการณ์มันรุนแรงกว่าที่คิดไว้เยอะเพราะหมอกดที่ท้องผมสะดุ้งกระตุกอย่างแรงเท่านั้นแหละครับหมอพูดว่า เตรียมผ่าได้ ไส้ติ่งชัวร์ ผมแทบจะหัวใจวายเพราะเกิดมาเพิ่งจะเคยผ่าตัดเป็นครั้งแรกของชีวิต ในตอนนั้น แฟนก็ไม่มี เลยโทรบอกแม่ที่อยู่เชียงรายพอแม่รู้ก็รีบมาพิษณุโลกทันที แต่พ่อนี้ติดราชการต่างจังหวัดเลยมาไม่ได้ พอผมผ่าตัดเสร็จ ก็พักฟื้นอยู่ที่ รพ. ม.น. จนได้เจอญาติของสาวที่ผมไม่คิดว่าจะได้ติดต่อกับเธออีกหลังจากเมื่อตอนม. 4 ได้ไปกวดวิชาด้วยกันแต่ก็ไม่ได้สานต่อความสัมพันธ์อะไรจึงเป็นแค่ความทรงจำดีๆ ที่เก็บไว้จนถึงวันนี้ที่ได้เจอญาติของหล่อนจึงได้ขอเบอร์ติดต่อจึงได้รู้ว่าเธอเอ็นติดที่แม่โจ้และเรียนอยู่ปีสี่เหมือนกันในคณะเศรษฐศาสตร์ จึงได้คุยกันคุยไปคุยมาจนผมออกจากโรงพยาบาลพักฟื้นได้ประมาณสามสัปดาห์ก็ตัดสินใจไปเที่ยวเชียงใหม่ไปหาสาวเจ้าช่วงนั้นเป็นเดือนลอยกระทงปล่อยโคมที่แม่โจ้ และเราก็เริ่มคบหากันจนเรียนจบเหตุการณ์มากมายเกิดขึ้นซึ่งรักครั้งนี้ของผมออกแนวจริงจังคาดหวังกันสูง เราก็ไปมาหาสู่กันเดือนละครั้ง ความสัมพันธ์ก็ดีขึ้นจนถึงจุดที่เรียกว่ามันเกิดอะไรมันเกิดอะไร เพราะในช่วงนั้นผมก็ทำงานเธอก็ไปทำงานที่ กทม.เจออะไรๆเยอะสังคมใหม่ก่อนหน้านั้นเธอก็ขายของช่วยแม่อยู่บ้านมันก็ไม่มีปัญหาอะไร แต่พอเริ่มเจออะไรกว้างขึ้นมันก็มีข้อเปรียบเทียบประกอบกับทิ้งระยะไกลเกินไปบางเดือนแทบไม่ได้เจอกันสองสามเดือนก็มีที่ห่างกัน จึงมีอันต้องเลิกกัน ทั้งๆที่ความคาดหวังของเราสูงถึงขนาดพ่อและแม่ของเราทั้งคู่คุยกันแล้วเรามีการวางแผนอนาคต ไปมาหาสู่กันผมก็ไปช่วยครอบครัวเค้าขายของในวันหยุดเทศกาลบ่อยครั้งจนเหมือนครอบครัวเดียวกัน พ่อแม่เราสนิทกันคุยกันถูกคอ มีความสัมพันธ์ในทุกมิติ ซึ่งดูแล้วเหมือนว่าจะสิ่งต่างๆจะทำให้คิดว่าใช่คนนี้ เราไปงานรับปริญญาของเราทั้งคู่ ทุกสิ่งทกอย่างดูดีสวยงาม แต่สุดท้ายมันก็พังลงทั้งหมดภายในระยะเวลา 2 ปี กว่า เหมือนกับว่าเราเป็นเพื่อนกันซะมากกว่าเพราะเราเริ่มจากการเป็นเพื่อนกันมานานจนความคิดของเธอเปลี่ยนไปเพราะก็เข้าใจในเหตุผลที่เธอมาบอกเลิก เธอก็คงต้องการความมั่นใจ การดูแลอย่างใกล้ชิด ไม่เหงา ไม่ต้องรอคอย แต่ผมไม่มีเลย ไม่ใช่เลย จึงเพิ่งรู้เดี๋ยวนั้นเองว่าตัวเองความคิดแคบมากเหมือนจะโตแล้วที่เรียนจบแต่ความคิดยังเป็นเด็กกันอยู่ทำให้ความคาดหวังมันกลับมาทำร้ายเราเองเราจากกันด้วยดีโดยที่ยังคุยกันได้เป็นเพื่อนที่ดีต่อกันยังถามสารทุกข์สุกดิบกันไๆด้เหมือนเดิม นั่นเป็นความรักครั้งสำคัญที่เป็นประสบการณ์ที่ดีทำให้ผมเข้าใจอะไรๆเกี่ยวกับชีวิต ความรักในด้านต่างๆ มากขึ้น จนทำให้ผมมีแนวคิดที่ปล่อยวาง ไม่ยึดมั่นถือมั่น กับความรัก และชีวิตจนทำให้เราต้องเสียความเป็นตัวของตัวเองไป สิ่งนี้เป็นสิ่งสำคัญถ้าจะรักใครซักคนก็ต้องยอมรับสิ่งที่อยู่ในเนื้อในตัวของกันและกันให้ได้ แสดงความเป็นตัวตน อย่าFake ใส่กันมันจะไม่ยั่งยืน จากชีวิตผมมาถึงตรงนี้ก็ยังมีอกีหลายประเด็นที่ยังคงค้างอยู่แต่ส่วนใหญ่ก็เป็นเรื่องราวเชิงลบที่ไม่ค่อยสมหวัง จากนี้ลองมาเปลี่ยนดูเรื่องราวชีวิตในด้านปัจจุบันและอนาคตภาพซึ่งจะเกี่ยวกับข้องกับการทำงานการศึกษามุมมองความรักที่เป็นปัจจุบันขณะว่าจะแตกต่างจากประสบการณ์เดิมมากน้อยเพียงใด

เด็กชายกระจกเงา ตอนที่1


ผมเกิดมาในครอบครัวข้าราชการที่ฐานะปานกลาง  พ่อเป็นตำรวจ ตชด. ชั้นประทวนธรรมดา แม่เป็นครูบ้านนอก มีพี่สาวและน้องชายคนละแม่อีกหนึ่งคน (คงไม่ต้องบรรยายสรรพคุณความเจ้าชู้ของพ่อผม) คนภายนอกมองดูแล้วเหมือนครอบครัวผมจะไม่ค่อยมีอะไรมากมายราบเรียบ ดูดี แต่แท้ที่จริงแล้ว ครอบครัวของผมเป็นครอบครัวที่ค่อนข้างมีปัญหามาก เริ่มจากการที่พ่อเป็นตำรวจ อย่างที่เค้าว่า จริงๆ รถไฟ เรือเมล์ ลิเก ตำรวจ เจ้าชู้ทุกรายและพ่อผมก็ไม่ทำให้เสียสุภาษิต เจ้าชู้เข้าขั้นเทพ มีภรรยาแทบทุกจังหวัด ย้ายไปราชการที่ไหนเป็นมีเรื่อง จึงทำให้แม่ทนไม่ไหว ขอหย่ากับพ่อตั้งแต่ผมอายุได้ 6 ขวบผมยังจำได้อยู่ประมาณ ป.1 แม่วิ่งเอามีดไล่ฟันพ่อรอบบ้าน ผมกับพี่สาวก็ได้แต่ร้องไห้ นั่งกินข้าวเหนียวหมูปิ้งทั้งน้ำตา นั่นเป็นความทรงจำที่ไม่น่าจดจำในวัยเด็ก ตั้งแต่นั้นมาผมและพี่สาวก็ถูกผลักไสไล่ส่งด้วยความรักจากพ่อและแม่ ให้ไปอยู่กับคนนั้นที คนนี้ที หลายโรงเรียน หลายจังหวัด ตั้งแต่ ตาก ยัน พิษณุโลก ตั้งแต่โรงเรียนวัดยันโรงเรียนคุณหนูไฮโซ โรงเรียนพุทธ ยันโรงเรียนคริสต์  มากมายหลายโรงเรียนจนมาจบประถมที่โรงเรียนเทศบาล 2 จังหวัดพิษณุโลก ในสมัยประถมผมเป็นเด็กที่เตะฟุตบอลเก่งชนิดที่ว่าในรุ่นเดียวกันในพิษณุโลกหาตัวจับยากที่เดียว ทั้งที่ตัวผอมแห้งแต่อาศัยความพลิ้วและเล่นบอลด้วยสมองไม่ค่อยใช้แรงปะทะ ส่วนเรื่องเรียนผมก็มีความจำที่ดีแต่ออกแนวขี้เกียจตั้งแต่เล็กๆ ชนิดที่หาตัวจับยากเช่นเดียวกัน(หมายถึงความขี้เกียจนะ)  พอจบประถมด้วยเกรดปานกลางมากๆก็ได้โควตาบุตรข้าราชการตำรวจ เรียนต่อมัธยมที่โรงเรียนพิษณุโลกพิทยาคม ซึ่งเป็นโรงเรียนประจำจังหวัด คนพิษณุโลกเรียกสั้นๆว่าโรงเรียนชายเพราะมีแต่ชายล้วน เพราะเมื่อก่อนยังไม่เป็นโรงเรียน สหศึกษาเหมือนปัจจุบัน แต่ก็มีสาวๆให้เห็นบ้างในมัธยมปลาย ช่วงชีวิตในโรงเรียนมัธยมของผมมีวีรกรรมที่น่าจดจำและไม่น่าจดจำมากมาย ทั้งเรื่องการเรียน  การเล่นฟุตบอล ครอบครัว  การคบเพื่อนจนเสียผู้เสียคน แก็งค์รถซิ่ง  และที่จะขาดไปไม่ได้ก็คือเรื่องสาวๆ ที่ได้เชื้อพ่อมาเต็มๆ จะน่าภาคภูมิใจดีไหมเนี่ย เริ่มจากมัธยมต้นผมก็เป็นเด็กเรียนปานกลาง เอาตัวรอดด้วยไหวพริบเป็นส่วนใหญ่ก็คือยังทิ้งนิสัยขี้เกียจไม่ลงซะที คาบว่างก็เตะบอลกับเพื่อนๆจนตัวดำ คาบไหนไม่ชอบเรียนก็โดดยกห้องไปเตะบอลกันเรียกได้ว่าคิดอะไรไม่ออกก็เตะบอลเลยก็ว่าได้จนเริ่งมัธยม 3 ผมเริ่มเตะบอลคบเพื่อน ติดสาว เริ่มมีรถจักรยานยนต์เป็นของตัวเอง เริ่มออกนอกลู่นอกทาง ในช่วงนี้มันมีเหตุและปัจจัยหลายอย่างให้ผมต้องเลือกทางเดินที่ผิดๆ เริ่มจากมัธยม 1 พ่อและแม่ของผมฟ้องศาลกันเพื่อจะเอาลูกไปเลี้ยงในครอบครองคือแย่งกันเป็นผู้ปกครองสุดท้ายพ่อก็ชนะเพราะหาว่าแม่เป็นโรคประสาทไม่สามารถเลี้ยงลูกได้ผมและพี่สาวจึงไปอยู่บ้านพ่อในค่ายตำรวจ ตชด. ร่วมกับแม่เลี้ยงและน้องชายคนละแม่อีกหนึ่งคน โดยแม่เลี้ยงมีอาชีพแม่ค้าขายผลไม้ อาหารตามสั่ง แม่เลี้ยงผมค่อนข้างจะมีฐานะ คือพ่อผมชอบแม่ค้าเพราะเงินคล่องกว่าครูบ้านนอกอย่างแม่ น่าจะมีส่วนนะ ในความคิดของผมตอนนั้น
ส่วนแม่ก็มีสามีใหม่ที่เป็นครูด้วยกันและอีกไม่นานก็มีหนุ่มๆมาพัวพัน ตั้งแต่ ตำรวจ เสี่ยรับเหมา จนเลิกรากันไป ผมก็ได้มีเวลาช่วงเสาร์อาทิตย์ไปนอนกับแม่บ้างเพราะแม่ยังสอนอยู่ที่พิษณุโลก ส่วนจันทร์ถึงศุกร์ก็ไปเรียนหนังสือกลับมาก็มาช่วยแม่เลี้ยงขายของทั้งพี่ทั้งน้อง หมายถึงพี่สาวผม ทำให้ผมเหนื่อยกว่าเด็กในรุ่นเดียวกันแต่ก็ได้ประสบการณ์ ได้รับผิดชอบงานตั้งแต่เล็กๆ เพราะถ้าไม่ช่วยเราก็จะไม่ได้เงินไปโรงเรียน หรือได้ก็ได้น้อย ทำให้ผมและพี่สาวเก็บเงินเก่ง สามารถซื้อของเล่น แพงๆด้วยตัวเองได้ เช่น ตัวต่อเลโก้ ที่ผมภูมิใจมาก เพราะผมจะคำนวณเลยว่าเก็บวันละเท่านี้นะกี่วันกี่เดือนจะได้ตัวต่อชุดนี้ และก็ได้จริงๆ ทำให้ผมมีความภูมิใจกับสิ่งเล็กๆน้อยตั้งแต่เด็กๆ  นี่คือช่วงเด็กๆ ทีนี้ข้ามมาดูช่วงมัธยม 3 ที่ผมบอกว่าเริ่มมีพฤติกรรมที่สุ่มเสี่ยงไปทางไม่ดี ก็คือ เริ่มจากคบเพื่อนที่เป็นแกงค์รถซิ่ง เตะบอลไม่ยอมเรียน จีบสาวที่เรียนพิเศษวันเสาร์อาทิตย์ ทำให้การเรียนค่อนข้างตก จนพ่อบอกว่าถ้าไม่ชอบเรียนก็จะให้ไปอยู่โรงเรียนกีฬาจังหวัดสุพรรณบุรี ซึ่งขัดแย้งกับความคิดของแม่ที่อยากให้เรียนต่อม.456 และให้เข้ามหาวิทยาลัย เพราะเตะบอลไม่มีอนาคตไม่มีอาชีพแน่นอน จึงทำให้ผมค่อนข้างสับสนมากกับช่วงหัวเลี้ยวหัวต่อของชีวิต จึงหันไปคบเพื่อน ติดสาว ประกอบกับช่วงนั้นพี่สาวก็เริ่มโตเรียน ปวส. มีแฟนเลยห่างๆกันไม่ค่อยสนิทเหมือนเก่า และก็ไปต่อป.ตรี บัญชี ที่ศรีปทุม จึงห่างกันไปโดยปริยาย ผมเลยใช้ชีวิตด้วยตัวเองคิดอ่านตัดสินใจทุกอย่างด้วนตนเอง พ่อกับแม่เลี้ยงก็จะให้เงินเป็นสัปดาห์สองสัปดาห์ที จึงทำให้ห่างจากครอบครัว แต่อีกด้านนึงก็ทำให้ผมโต สมัครเรียนต่อ ม. ปลายเอง ทำธุรกรรมทางกฎหมายต่างๆด้วยตัวเองตั้งแต่ ม. 3 ติดต่อที่เรียนพิเศษ เองจ่ายเองบางครั้งก็ไม่ได้เรียน เพราะเอาเงินไปแต่งรถเลี้ยงเพื่อนเลี้ยงสาวบ้าง เป็นช่วงชีวิตที่ค่อนข้างเสเพล โดนจับเรื่องรถซิ่งนับครั้งไม่ถ้วน แต่ผมก็จบมัธยมต้นได้ด้วยเกรดที่เกือบตก และต่อมัธยมปลายที่โรงเรียนเดิมและแค่เทอมแรกผมก็ติดศูนย์ วิชาคณิตศาสตร์แล้วเพราะไม่เข้าเรียนและเรียนไม่รู้เรื่อง แต่วิชาอื่นๆก็พอถูๆไถๆไปได้นับเป็นช่วงที่ถึงจุดพีคของเด็กเสเพลเพราะเริ่มเบื่อกับการใช้ชีวิตเดิมๆ โดดเรียนไปปาร์ตี้กับสาวๆโรงเรียนสตรี ตกเย็นก็กลับบ้านในเวลาเหมือนได้ไปเรียนมาทั้งที่จริงในกระเป๋ามีแต่ชุดเที่ยว นี่คือพฤติกรรมที่ทำบ่อยในมัธยม4 แต่จุดหักเหของชีวิตก็มาถึงในมัธยม 4 เทอมที่ 2 เพราะหลายๆอย่างบีบบังคับ ทั้งเรื่องที่บ้าน ครอบครัว แม่ พี่สาว เพื่อน เพราะเพื่อนที่คบๆกันก็เริ่มล้มหายตายจากด้วยคดียาบ้าบ้าง รถชนบ้าง ออกกลางคันบ้าง พ่อจึงเรียกคุยยื่นคำขาด ประกอบกับในช่วงนี้ได้มีโอกาสเรียนรักษาดินแดนเป็นนักศึกษาวิชาทหารด้วยจึงเริ่มมีระเบียบวินัยในตัวเองเพิ่มขึ้น และที่สำคัญคือผมเจอรักครั้งแรกกับสาวที่เรียนประถมด้วยกันคือแอบปลื้มๆกันตั้งแต่ป.2 พอมัธยมหล่อนก็ย้ายไปเรียนโรงเรียนสตรีประจำจังหวัด ทำให้ไม่ได้ติดต่อกันนาน และเธอก็มาเรียนพิเศษในที่กวดวิชาวิชาคณิตศาสตร์แห่งหนึ่ง ผมที่ติดศูนย์คณิตศาสตร์จึงโดนบังคับให้ไปเรียน ด้วยความไม่ตั้งใจ แรกๆก็เรียนไปงั้นๆอยากไปเห็นหน้า แต่หลังๆเริ่มตั้งใจเพราะอยากโชว์พาวตอบแบบฝึกหัดบ่อยๆ แล้วได้หน้า คิดเร็วคิดถูกตอบดังสาวๆก็สนใจ จนเพื่อนๆในชั้นเริ่มหมั่นไส้ แต่มันก็ทำให้ผมเรียนวิชาคณิตศาสตร์ได้ดีขึ้นโดยไม่รู้เนื้อรู้ตัว คงเพราะได้ทำแบบฝึกหักมาก และทำซ้ำๆจนชำนาญ จึงส่งผลให้มัธยม 5 และ 6 ผมได้เกรด 4 วิชาคณิตศาสตร์ทุกเทอม แต่วิชาอื่นๆผมก็ยังเหมือนเดิมคือเอาตัวรอดไปวันๆ 2 บ้าง 3 บ้าง 1 บ้าง ก็คละกันไปจบมัธยม 6 มีGPA อยู่ที่ 2.50 ซึ่งถือว่าปานกลางเพราะม.4 เกรดไม่ดีมาเร่งทีหลังก็ไม่ค่อยทัน ในช่วงนี้เองผมได้ค้นพบอะไรหลายๆอย่างในชีวิตวัยรุ่นทั้งการเรียน เรื่องสาวๆ ช่วยแม่เลี้ยงทำงาน ทำให้ผมรู้จักแบ่งเวลา ว่าตอนไหนควรเรียน ควรช่วยครอบครัวทำงาน ควรไปเที่ยวกับสาวๆ ตอนนั้นผมต้องช่วยแม่เลี้ยงขายของจนดึก และต้องตื่นเช้าไปเรียน เสาร์อาทิตย์ก็เรียนพิเศษอีก ทำให้ชีวิตผมค่อนข้างเร่งรีบรัดตัว  ในช่วงนี้ผมก็เปลี่ยนสาวบ่อยมาก แต่ที่มาจริงๆจังก็คือสาวอาชีวะพิษณุโลก บ้านใกล้ๆกันก็คบกันไปคบกันมา เธอน่ารักแต่ค่อนข้างที่จะหึงหวงผมมากเกินไปหน่อย คบกันตั้งแต่ ม.4 ถึง ม.6 แล้วก็มาเลิกกันเพราะผมย้ายไปเรียนที่มหาวิทยาลัยนเรศวรแต่นั้นไม่ใช่ประเด็นเพราะที่จริงผมดันไปมีสาวใหม่ค่อนักศึกษาพยาบาลปีหนึ่งเหมือนกัน (ได้พ่อมาเยอะ) ผมสอบติดโควตาประเภทรับตรงของมหาวิทยาลันนเรศวรตั้งแต่เดือนธันวาคม ปี 44 ก่อนสอบผมก็ไม่ได้ไปเรียนพิเศษที่ไหนเลยมีเพียง
คณิศาสตร์อย่างเดียวส่วนวิชาอื่นๆผมก็อ่านเอาเองหมด ซื้อหนังสือติวมาอ่านเอง  เน้นเฉพาะที่ได้จริงๆ ผมมีความตั้งใจมากที่จะเข้า ม.น. ให้ได้ทั้งๆที่มันใกล้บ้าน อยู่ในสิ่งแวดล้อมเดิมๆ เพื่อนก็ชวนให้เลือกที่ ม.ช. บ้าง แต่ผมตอนนั้นมองอะไรๆแคบไปหน่อยติดสาวกลัวไปเรียนที่อื่นแล้วห่างกันเลยดักดานอยู่ที่พิษณุโลก ในสมัยนั้นโควตาเลือกได้ 4 อันดับผมเลือกสถาปัตย์อันดับแรกเพราะชอบอยากเป็นสถาปนิกผมชอบวาดรูปชอบคิดอะไรๆแปลกกว่าเพื่อนๆก็หวังว่าจะได้เรียนส่วนอันดับต่อมาก็เป็นเภสัช(เลือกไม่เจียมตัวเอง) เกษตรศาสตร์ และสุดท้าย สถิติ เลือกเพราะมันมีใบแนบหล่นลงมาจากชุดคะแนนโควตา เลยเลือกเพราะวิทยาศาสตร์สถิติปิดมาหลายปี เพิ่งจะมาเปิดในปี 45 เป็นรุ่นที่ 4 เลยมีใบแนะนำผมก็เลยเห็นว่าไม่มีใครค่อยรู้จักและเลือกเท่าไรจึงเลือกไว้กันเหนียว หลังจากนั้นผมก็ตั้งหน้าตั้งตาอ่านหนังสือทุกวัน ช่วงเวลาที่ผมชอบคือ ใกล้เช้า ตีสามถึงหกโมงเช้า ไม่รู้อะไรเข้าสิงผมเหมือนกันมันเกิดอยากอ่านอยากสอบติด อยากเท่ห์ คงเพราะสิ่งแวดล้อมในห้อง ม.6/7 ซึ่งเป็นสายวิทย์ สาธารณสุข มีความกระตือรือร้นกันมาก บางคนที่มีตังค์หน่อยก็ไปติวแบบแพงที่เค้าการันตีว่าติด บางคนก็เรียนพิเศษหลายๆสำนักจนดึกจนดื่น แต่ผมมันขี้เกียจไม่อยากกวนพ่อด้วยจึงไม่ได้ไปติวที่ไหนมีเพียงคณิตศาสตร์ตอนเย็นอย่างเดียวซึ่งเป็นอาจารย์ที่สอนประจำในโรงเรียนแกมาเปิดบ้านพักครูหลังโรงเรียนติวเพิ่ม ผมต้องขอบคุณอาจารย์เต้ย มากที่ทำให้ผมมีเจตคติที่ดีกับวิชานี้ แกสอนแบบง่ายๆเน้นให้ทำแบบฝึกหัด ผมยังคุ้นๆเลยว่าเอ๊ะบุคลิกอาจารย์เต้ยละม้ายคล้ายอาจารย์ปรมินทร์อย่างมากทั้งรูปร่างหน้าตา การพูดจา น้ำเสียง อาจเป็นเพราะแกเป็นคนเหนือเหมือนกันก็เป็นได้เพราะอาจารย์เต้ยจบ คม. คณิตศาสตร์ ที่ม.ช. พอประกาศผลในเดือนธันวาคม ในวันนั้นผมก็ยังโดดเรียนไปกะสาวอยู่ที่หอพักแห่งหนึ่งหลังวัดใหญ่(พระพุทธชินราช) เพื่อนสนิทผมมันชื่อเจดดา(ชื่อจริงเจษฎา)โทรมาบอกว่า เฮ้ยมึงมาดูบอร์ดหน้าตึกเร็ว ผมก็บอกไปว่าวันนี้กูไม่ได้เข้าไปว่ะ มันก็ตะโกนดังมากว่าเฮ้ยกูติดโยธา ส่วนมึงอ่ะติดสถิติ ที่ม.น. นะ ในวินาทีนั้นผมก็แอบเสียใจเล็กน้อยที่ไม่ได้สถาปัตย์หรือคณะที่สูงกว่าดันมาได้อันดับสุดท้ายที่เลือกแต่อีกใจนึงก็ดีใจที่ติดกะเค้าเหมือนกันเพราะทั้งชั้น ม.6 โรงเรียนประจำจังหวัดพิษณุโลก ติดอยู่ไม่ถึง100 คนจากเกือบ 900 คน สิ่งที่ผมคิดตอนนั้นก็คือเรียนก็เรียนวะ โคตรฟลุ๊คอ่ะ พอวันต่อมาไปโณงเรียนเพื่อนแซวกันใหญ่ว่าแม่งมึงโชคดีว่ะ รู้งี้กูเลือกกับมึงก็ดี ผมก็แอบสะใจเล็กๆเพราะไอ้พวกเคร่งๆมันไม่ติดแต่ผมมันเด็กหลังห้อง เฟี้ยว ไม่ค่อยตั้งใจเท่าไร ในสายตาพวกมันกลับติดโควตา แต่ใครจะรู้ว่าผมซุ่มอยู่หลายเดือนก่อนสอบที่บ้านที่เรียนพิเศษ ตอนนั้นผมยืดมากเพราะพ่อแม่พี่สาวก็ดีใจกับผมมาก เป็นหน้าเป็นตาให้พ่อมากเพราะลูกตำรวจในค่ายเดียวกัน(ค่ายพระยาจักรี) มีผมกับลูกผู้พันในค่ายที่ติด นอกนั้นส่วนใหญ่ไม่ค่อยเอาไหนติดยา เรียนไม่ดีซะเยอะ พ่อเลยหน้าบานเลยช่วงนั้น เอาเป็นว่าช่วงนี้ผมก็ค่อนข้างชัวร์แล้วว่าคงเรียนที่นี่ไม่สอบใหม่ละเพราะวันรายงานตัวจะตรงกับวันอะไรซักอย่างซึ่งมันหมายความว่าถ้าคุณรายงานตัวสอบสัมภาษณ์โควตา ม.น. ก็จะต้องชัวร์ห้ามไปสอบหรือสมัครที่ไหนอีก ในใจผมก็บอกว่ากูไม่สอบไหนแล้วกลัวไม่ติดเพราะแค่นี้ก็ฟลุ๊คมากแล้ว เหอๆๆ บางคนที่เก่งๆก็สละสิทธิ์ที่ ม.น. ไปสอบในเดือนมีนาคมใหม่เพื่อไป มหาวิทยาลัยดังๆ เช่น จุฬา ธรรมศาสตร์ ม.ช. พอผมติดที่ ม.น. แน่นอนแล้วจากนั้นก็เข้าทางครับเพราะผมโดดบ่อยมากในเทอมสองของม .6 เพราะมันไม่มีแรงจูงใจในการเรียนเพราะเหลืออีกประมาณสองเดือนตอนนั้นก็จะจบ ผมก็ใช้ชีวิตเมามันมาก แต่ก็สอบจบม.6 มาได้แบบเอาตัวรอดเกรดเกริดไม่สนใจเอาแค่ผ่านพอ หลังจากนั้นผมก็ดำเนินการทุกอย่างด้วยตนเองตั้งแต่ขั้นตอนมอบตัวรายงานตัวเพราะพ่อก็แค่เอาหลักฐานมาให้อย่างเดียวแต่ผู้ปกครองคนอื่นๆนี่เค้ามากันแบบตื่นเต้นตื่นตัว แต่พ่อผมนี่โคตรสนใจลูกเลย เหอๆๆ ผมเลยทำทุกอย่างด้วยตนเอง ค่าเทอมก็จัดการเองแต่ขอพ่อนะครับและพ่อก็ไปขอแม่เลี้ยงมาอีกที แต่ปรากฏว่าพ่อไม่ได้บอกแม่เลี้ยงว่าค่าเทอมผมเบิกได้ เลยเรียบร้อยโรงเรียนดาบตรี เอาไปเลี้ยงสาวตามเคย ผมโชคดีที่ไม่ได้กู้ยืมเงิน กยศ. เรียนเพราะค่าเทอมสมัยนั้นก็ไม่แพงมาก ห้าหกเจ็ดพันประมาณนี้แต่หลังจากนั้นออกนอกระบบก็หมื่นกว่า นับว่าโชคดีมากๆ นี่คือชีวิตในช่วงเริ่มต้นของผมในด้านการศึกษาและชีวิตรอบๆด้าน การลองผิดลองถูก ผ่านสิ่งร้ายๆ ได้ประสบการณ์ดีๆ การปรับตัว การยืดหยุ่นของชีวิต แต่อาจยังไม่มีเหตุการณ์ที่เข้มข้นมากนักเดี๋ยวในตอนหน้ามาติดตามชีวิตในรั้ว ม.น. ว่าจะมีวีรกรรมอะไรเด็ดๆอีก รับรองว่าเข้มข้นกว่านี้หลายเท่าตัวเพราะผมจะได้เล่าถึงชีวิตการเรียน ชีวิตความรักของนิสิต ม.น. ที่เน่าไม่แพ้ละครในทีวีเลยทีเดียว รวมไปถึงชีวิตครอบครัวผมที่เปลี่ยนได้ตลอดเวลา จนผมเริ่มปลงๆแล้วว่า ชีวิตคือการเปลี่ยนแปลง จริงๆ

passion

วันที่ความอยากหลายๆอย่างมาครอบงำ ไม่มีใครปฎิเสธความต้องการบวกความปรารถนา
ที่อยู่ในใจของตนเองได้เมื่อมันถึงเวลาที่มันสะสมระอุจนล้นออกมา สิ่งหนึ่งที่อยากทำ
และเคยทำมานานมากแล้ว และก็ยังคงทำอยู่บ่อยๆแต่ไม่จริงจัง ก็คือการร้องเพลงเล่นดนตรี
แต่วันนี้ได้รับโอกาส ก็อยากแสดงให้ชาวบ้านชาวช่องเค้ารู้ว่า พ่อและลูกสาวคุณยาย(แม่)
เราก็ประทานเสียงร้องเพลงและพรสวรรค์ในการจดจำเนื้อร้องและทำนอง Intro solo หรือเรียกกันในหมู่คนฟังเพลงว่าหูเทพนั่นเอง ลองดูว่าสิ่งที่เคยทำสมัยเรียนจนเกิดเป็นทักษะ  ทางด้านเพลงที่ไม่เป็นรองใคร จะสามารถทำให้คนที่ร้านสุดสะแนน ช่วงหัวค่ำพอจะฟังแล้วแหลกเหล้าลงรึป่าว โชคดีที่มีน้องสันติพงษ์ มีกีตาร์คู่ใจไปละในตอนนี้ เป็นBack up ให้กูดูร้องเพราะขึ้นมาอีกนิดนึง ต้องยอมรับว่าตั้งแต่เล่นดนตรีกับเพื่อนๆมาตลอดเพิ่งจะมีน้องสันติพงษ์นี่แหละที่เทพกว่าคนอื่นแต่อย่างไอ้ป้องก็โออยู่แต่มันคงไม่ค่อยมีเวลาแกะเท่าไรแล้ว ภาระเยอะไหนจะลูก เมีย เมียน้อยอีก555 เอ้าลองดู
เดินตามหาความฝันอย่าหยุดถ้ายังไม่ถึงจุดสุดยอด


สำหรับแฟนคลับวง...วงไรวะเนี่ย ยังไม่ได้ตั้งชื่อเลย Duo หนุ่มหล่อแนวอินดี้ 2 คนจะชื่อวงว่าไรดีวะ

เจอกันได้ที่ร้านสุดสะแนน แถวสุกี้โคคา เชียงใหม่นะครับ 19.00 เป็นต้นไป 


เราไม่ได้ขายเสียงแต่ขายหน้าตาครับ ฮา...



วงเวียนละกานวะ หรือวงกลมหรือ วงรี ช่างแม่งเหอะ

วันอังคารที่ 3 สิงหาคม พ.ศ. 2553

Better weather

อากาศดีๆที่มีในเวลาเช้า ไม่ว่าจะร้อนหรือจะเหน็บหนาวซักเท่าไร ถึงฝนจะตกไม่สดใส แต่ก็สวยงาม


อยู่ที่มุมมองของแต่ละคนในการเลือกองศาของการเห็น
การเลือกที่จะได้ยินให้หูของเรารับรู้เสพแต่สิ่งที่สุนทรีย์
เปิดใจของเช้าวันใหม่รับกับสิ่งที่สดใสไม่เจือปนความขุ่นมัว
เดินตามรอยความฝันที่เราได้นิมิตไว้ในค่ำคืนแห่งดวงดาว

Let's GO GO GO to Indy cafe

เล่นดนตรีแลกเหล้า ความฝันความสุขที่เราดื่มได้ 555

ขอต้อนรับสู่จินตนาการของงานเขียน

ฉันยืนอยู่คนเดียว เปล่าเปลี่ยวหัวใจ

วันนี้เป็นวันแรกที่สมัครบล็อกของตัวเอง
จากวันนี้ไปจะมีเรื่องราวดีๆในสไตล์ที่ผมเอง
จะเรียกมันว่า จินตนาการงานเขียน จาก คนปากหมาแต่หน้าตาดีอย่างผม555