วันศุกร์ที่ 28 มกราคม พ.ศ. 2554

ต้องจริงจังเสียที

มุ่งสมาธิสู่ความกดดันทางวิชาการและอารมณ์ผิดพลาดต้องเร่งแก้ไขไม่มีข้อโต้แย้งเรื่องเวลาใดๆอีกเหนือสิ่งที่เราคิดฝันมันเป็นไปได้เสมอ และต้องเผื่อใจกับหวังเล็กๆที่สอดประสานกันร้อยเรียงจนก่อเกิดสิ่งต่างๆที่ทำให้เราต้องกลับมาแก้ไข เข้าใจกระบวนการแล้วจะผ่านมันไป พักผ่อนและกลับมาสู่ชีวิตมนุษย์ค้างคาวที่ต้องจัดการกับสิ่งสุดท้ายให้เสร็จก่อนสอบ ถอนหายใจแต่ต้องเดินต่อในเส้นทางสุดท้ายของสิ่งที่หวังระดับปานกลาง


ความลุ่มหลงในสิ่งสมมติเพิ่มปริมาณขึ้นอย่างประหลาดไม่อาจคาดเดาฉากต่อไปขอเพียงใจสุขล้นที่สองคนได้พักพิงในความสัมพันธ์ซ่อนเร้นก็เป็นสุขเหนือคำนิยามใดในผืนปฐพีที่เหยียบย่ำ


เหมือนว่างเปล่าแต่เธอได้เข้ามาอยู่ในโสตส่วนของร่างและจิตฉัน เหมือนฝันแต่งดงาม


มองไปที่ฟ้าไกลที่ดวงดาวคู่นั้นดวงตาของฉันเฝ้ามอง แสงที่เธอสัมผัสเชื่อมความคิดของเราให้ถึงกัน

วันพฤหัสบดีที่ 27 มกราคม พ.ศ. 2554

ปัจจุบันคือคำตอบของอดีต

สัปดาห์แห่งการจัดการและเดินทางไปประสานสิ่งต่างๆให้ เข้าที่ก่อนจากลาพันธนาการออกสู่อิสรภาพทางชีวิตความคิดและวิญญาณ สิ่งที่เป็นพลวัตยังดำเนินไปอย่างช้าๆแต่เป้าหมายชัด เริ่มพูดคุยถึงวันพรุ่งนี้ไกลๆผองเพื่อนมิตรสหายนัดหมายเรามาเพื่อปรับทุกข์ ปลอบโยนถึงฝันรำไรที่ใกล้เข้ามาทุกวันที่หลับตื่น เมรัยสีอำพันขับกล่อมดนตรีสากลสมัยใหม่ ผู้คนหลากเพศ จบลงที่การหลับไหล สลึมสะลือตื่นมากับอาการงงเหล้าเคล้าความง่วง อีกเย็นที่ยืนหยัดกับชีวิตเมรัย ไอฝน ระคนกันไป เป็นความสุขที่เรียบง่ายของชายวัยเกือบกลางคน

คงย่ำเดินอยู่บนผืนดินประเทศเชียงใหม่ต่อไปอีกนานเท่านานจนการ เปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่จะมาเยือน อนาคตมองเห็นแต่จะชัดเจนเพียงใดต้องรอคำตอบจาดจิตไร้สำนึกควบคู่แรงบันดาลใจ ใหม่ๆ และสิ่งที่ฉันเป็น 


คืนเศร้าคืนเหงาคืนโสด ได้โปรดยื่นมือให้ฉัน 
เกาะเกี่ยวเลี้ยวเลาะเกาะกัน ร่วมฝันวันนั้นที่รอ
ฉันรอฉันท้อฉันไหว แสงไฟแสงดาวพราวแสง 
ทุกวันมีเธอเป็นแรง โปรดอย่าอับแสงโรยรา

ฝนกลาง ลมหนาวดาวหาย กลับกลายคล้ายรักเสน่หา 
หยาดผนงามกว่าดวงดารา สาย ตาฉันยากละเลย
อยากมีเธอไว้ให้นาน เนิ่น แต่หากเกินกำลังความฝัน 
เราพบเราเจอหน้ากัน เหมือน ฝันเท่านั้นฉันพอ

นิราศกลางไอฝน by Jadenathee

วันพุธที่ 26 มกราคม พ.ศ. 2554

ยิ่งกว้างกลับแคบ

ความลุ่มลึกในโลกมันแปรเปลี่ยน สิ่งที่เสพกับข้อมูลผ่านจอสีที่มีเกือบทุกบ้านมันมากมายหลากหลายยากการกลั่นกรอง ยิ่งเราเข้าใกล้สิ่งสนใจในเชิงกว้างและลึกมากเท่าไร สิ่งสนใจเปลี่ยนชนิดกันไปไม่มีขอบเขตแต่กลับแยกย้ายเป็นลักษณะกลุ่ม ความสนใจเดียวกัน เข้ากลุ่มเดียวกัน มุ่งสู่สิ่งที่ตนเองชื่นชอบไร้เหตุผลคนรอบข้าง เหตุที่ชาวเราส่วนใหญ่กลับหลงกระแสรคิดแต่เรื่องใกล้ตัวที่เฃื่อมโยงและส่งผลต่อตนเองขาดจิตวิญญาณในสาธารณะ เพราะบัณฑิตมุ่งหน้าสู่ความอยากที่เป็นฟันเฟืองต่อเนื่องไปสู่ทุนนิยม สิ่งสะท้อนจากข้อความในสังสมออนไลน์ในเวลาวิกฤต ชี้ให้เห็นร่องรอยบางอย่างที่คนสมัยนี้ขาดหายไปจากอดีต ความแคบในมิติสังคม สิ่งบีบคั้นยิ่งมากเท่าไร ตัวเราและคนรอบข้างก็เล็กลงเท่านั้น "เมื่อไรม็อบจะกลับชั้นอยากเดินห้างจะแย่แล้ว" บอกอะไรบางอย่างที่สังคมออนไลน์และความคิดของวัยรุ่นตกขอบ

ในโลกที่เลือกข้างเสพสื่อตามใจฉันมันก็ยากที่จะปรับความคิดคนที่โลกมีแต่สีสันให้ตาบอดสี 

คุณภาพคนและสังคมของบุญรอด ต้องก่อเกิดจากจุดเล็กที่สุขแท้ด้วยปัญญาก่อนจึงจะแพร่กระจายสู่องค์รวมใหญ่ ยากนักแต่เริ่มที่เราก่อนได้นะท่าน

Need you now

It's a quarter after one, im all alone and I need you now


ค่ำคืนที่อ่อนล้าด้วยความสุขบั่นทอนความสดใสของร่างกาย แต่จิตใจแอบโหยหาความสะท้านของอารมณืเสี้ยวของผิวกายที่ปะทะแนบอิงชิดกัน บอกกับตัวสีดำในจิตว่าควรเว้นระยะห่างของตัณหาไว้บ้าง เพราะเกิดเสพติดสิ่งนี้เข้าให้มากจะกลับกลายเป็นปีศาจดังเก่า ไม่มีแสงเล็ดลอดเข้ามา ชีวาก็จะไม่กลับกลาย กิเลสที่หอมหวานถูกสกัดด้วยกรอบของเวลาและสถานะที่เป็นจริง กำแพงนั้นยังคงอยู่แต่ ก็ไม่อาจขวางกั้นความสุขหลังกำแพงดำมืดนั่นได้ อยากให้รู้ว่าฉันต้องการเธอตอนนี้ แต่อาจมีมิติเวลาทับซ้อน
 

เคียงคู่เคล้าคลอหยอกล้อลุ่มหลง เคลื่อนกายปลดปลงซบลงเอนกาย
ร้อนร่างเล่นลิ้นคลายสิ้นความหมาย เมื่อสองร่างกายกอดก่ายผสานกัน

โอนอ่อนผ่อนเร่ง เคล้าเพลงลมหนาว  สิ้นเหงาเร้ากาย ใจคลายอาดูร
คืนวานผ่านสุข ปลดทุกข์ทั้งสอง วันนี้เมียงมอง คิดถึงสองกายา

Erotic time by Jadenathee

วันอังคารที่ 25 มกราคม พ.ศ. 2554

สุข-ทุกข์ Average

เช้าตื่นเมื่อยล้ากับอาการหนักนานบ่อย จากรสของอิสตรี ความสุขที่ก่อเกิดตามระยะเวลามีช่วงเวลาที่ดีร่วมกันก็เป็นอย่างนี้ เมื่อความปรารถนาเที่ยงตรงต่อกันก็เหมือนน้ำมันกับไฟ ลุกลามเผาผลาญสิ่งรอบข้างให้สาบสูญ เหลือเพียงโลกฝันที่เรามโนขึ้นจากสิ่งคุ้นเคย ความหยาบของสุขไม่อาจชั่งน้ำหนักมวลตามแต่ละจิตนึกคิด มันมากมายและล้นเหลือสำหรับ คนเหลือจากร่องรอยอดีตและความมืดในอนาคตภาพ ถ้ายังรู้สึกและสันโดษในอิสรภาพก็ยาวนานพอที่จะคงสภาพความสัมพันธ์แบบนี้ไปจนวันสุดท้ายของการจากลา

ไม่ใช่เรื่องแปลกใหม่ในวิถีมนุษย์ปุถุชน นึกย้อนกลับไปไม่ได้เป็นแค่เราหรือเขาในเชิงเปรียบเทียบ แต่มันฝังลึกลงในแรงตัณหาที่ทุกผู้ทุกนามปรารถนา แต่รอเพียงโอกาสและเวลาที่เหมาะสมเท่านั้น ที่จะนำระเบิดวลาออกมาเข่นฆ่าความดีที่ปะปนเหมือนอากาศธาตุรอบกาย 

ถ้าความสุขกับทุกข์ เฉลี่ยกันได้จริงคงจะได้เห็นโลกสีฟ้าเข้มมากกว่าที่เป็นอยู่ อารมณ์ทำร้ายเหตุการณ์ก่อเกิดผลกระทบต่อคนข้างกาย สุดท้ายกรรมตกอยู่ที่พรุ่งนี้กับภาพสะท้อนที่เปลี่ยนแปลงไปตามเหตุและผล วกวนเวียนอยู่อย่างเดิม


เวลาชีวิตได้เดินช้าๆไปสู่กระแสเชี่ยวของธารน้ำที่แยกตามร่องน้ำของตน ใสขุ่นแรงอ่อนย้อนไหลกลับตามแต่ ใจ เมื่อใดที่ความสงบมาเยี่ยมเยือน กระแสธาราคงแน่นิ่งมองเห็นเงาของตนเองชัดเจน เมื่อนั้นคงเกิด อภิญญาญาณรู้ชั่วดีเห็นผีปีศาจในร่างกายหยาบของตนซักที


จิตมีเพียงใคร่ไม่ได้รัก แต่ฉไนจิตหักเหหวล
วกคิดถึงแต่สิ่งเรรวน ทบทวนหนหลังที่จากมา


คืนสุขทุกข์ผ่านมานานเนิ่น กายย่างเดินปลิวไหวตามใจอ่อน
ผ่านเมืองเล็กสู่เมืองใหญ่ใจอาวร ถึงบังอรซ่อนรักสลักใจ


ความมุ่งหมายหลีกไกลในกระแส รอเพียงแค่เศษใจไว้เกื้อหนุน
ได้พานพบซบไซร์ในกายคุณ คงอบอุ่นอณูใจไกลหนาวเอย

วันจันทร์ที่ 24 มกราคม พ.ศ. 2554

Rum 40 vol.

สุราใสในขวดทรงฝรั่ง ร้อนผ่าวในเรือนกาย  อ้อย ข้าวโพดที่คลุกรุ่นอยู่ในเนื้อในตัวไม่ได้ดอมดมกลิ่นรส เหตุเพราะความเย็นชาของกายหยาบ อีกหนึ่งความสุขที่หากินได้ง่ายดายกับสหายสุรามหาบัณฑิตทั้งหลายแหล่ อีกไม่ถึงสองเดือนเราคงต้องแยกย้ายกันตามความฝัน เพื่อนเอยขอให้พบเจอแต่สิ่งดี นนตัวเล็กไปไกลถึงปารีส มึงคงต้องปรับตัวเพื่อพิสูจน์ตัวตนอีกหลายเดือน หนึ่งผอมคงเตร็ดเตร่แถว ม. เกษตรบางเขนอยู่ใกล้พ่อมึงก็เยี่ยม ที่เหลือคงกระจัดกระจายอยู่แถบเชียงใหม่ ไร้การรวมกลุ่มแบบเดิมที่คุ้นเคย งานเลี้ยงที่ยาวนานใกล้เวลาเลิกจริงๆซักที 


เช้าแห่งการทำตามหัวจิตหัวใจที่แห้งแล้ง เย็นย่ำคงฟื้นคืนกลับมาพร้อมกับสายฝนที่งดงามความสัมพันธ์ไร้ระเบียบก่อตัวช้าๆล้ำลึกเกินคำอธิบาย เราไม่สงสัยในตัวตนของกันและกันทำให้ความสัมพันธ์รุดหน้าเหมือนนานแต่เพิ่งผ่านชั่วขณะ อย่าได้ถามถึงอนาคตเพราะคนคนนี้ไม่มีให้นอกเหนือจากความสุขที่เราต่างรู้ แม้จะผูกติดกับครรลองที่แม่และพี่สาวต้องการให้เป็น แต่มันโดดเดี่ยวโลดโผนเกินความเป็นจริงของสังคม ขอเวลาที่ต้องปรับตัวและใจเข้ากับ สังคมโลเล แล้วจะกลับเข้าสู่เส้นทางดุษฎีตามที่แม่และพี่สาวหวังใจ 


สุดท้ายก็หลีกหนีชีวิตวิชาการ ท่ามกลางอารมณ์ศิลป์ไม่พ้น ขัดแย้งแต่ก็ทำให้มันงดงามได้ด้วยตัวเรา


มีคนเคยบอกว่าเมาเหล้ายังดีกว่าเมารักถ้าจะจริง 
เพราะ"อาการแฮงค์" หายง่ายกว่า "อาการเฮิร์ท"

วันอาทิตย์ที่ 23 มกราคม พ.ศ. 2554

สุญญากาศทางอารมณ์

สภาพไร้น้ำหนักทางการรับรู้การได้ยินการมองเห็น ส่งผ่านถึงความรู้สึกนึกคิด ไร้น้ำหนักในการรับสัมผัส ควบแน่นด้วยความอ่อนล้าทางจิตใจ พลังชีวิตในแรกจันทร์ทำงานกลับทำให้ร่างกายและจิตใจฉงนสงสัยในการรู้สึกถึงการมีชีวิตอยู่ ผ่านกาลเวลา 1 ปีที่ผ่านพ้นวันเวลาเดียวกันนี้เมื่อศักราชที่แล้วยังคงเหยียบย่ำอยู่บนพื้นน้ำแข็งในปักกิ่งที่เหน็บหนาว ผ่านพ้นปีเต็มที่ทุกอย่างกำลังจะเปลี่ยนแปลงไปสู่อนาคตภาพที่น่ากลัวสูงชัน นับวันสอบเปลี่ยนผ่านเปลี่ยนแปลงสังคมการทำงานอีกหน ความเสี่ยงและความมั่นคงในชีวิตไม่มี แค่เกิดมาเป็นมนุษย์ก็บุญโข แต่ก็เสี่ยงอย่างมหันต์ ไม่มีสิ่งท้าทายในโลกบาลแห่งหนนี้เสียแล้ว ฉันได้เหยียบย่ำความเป็นตัวเป็นตนบนวิญญาณต่างๆเกือบหมดสิ้น สิ่งที่มนุษย์ใฝ่หาฉันมีความคำนึงนั้นมากพอจนลดระดับ ความว่างเปล่าและปลงตกประทุเชื้อมานานนม ก่อสภาพความไม่อยากได้ใคร่มีอันเป็นหนามแหลมทิ่มแทงแรงบันดาลใจใฝ่สร้างสรรค์ของชีวิตหนึ่ง


เปลือกตาที่ริบหรี่มองหาความแจ่มใสในแววตาได้ยากยิ่ง เดินหน้าต่อไปในชีวิตที่ต้องไปต่อ หากหยุดหายใจสิ้นลมปรานก็เกียจคร้านความเป็นมนุษย์ จะเงยหน้ารับแสงตะวันได้อย่างไร ไม่อายสรรพสัตว์ที่โหยหิวอยู่เบื้องล่างบ้างหรือ


สัญญาณชีพในชีพจรแผ่วเบาบอกกับตัวเองว่า อีกเดือนกับช่วงรอยต่อของอารมณ์ สังคม และความเป็นมนุษย์โดยสมบูรณ์


วลา วารี วาจา และโอกาส ไม่มีทางย้อนกลับมาหาคนเขลา


ฉันจะคิดถึงสิ่งที่ทำให้เป็นสุขต่อตัวและหัวใจ ในเบื้องหน้าและปัจจุบันขณะ ของฉัน นั่นคือฉันคิดถึงแต่เธอ

บรรยากาศ

ผู้คนมากมายในสองสามวันที่พบเห็นกับบรรยากาศปริญญานิยมอีกแห่งหนึ่งในมุมเมืองไทย เมื่อโลกใบเดิมที่พบเห็นเชื่อมั่นในประเพณีนิยมศรัทธาผู้สูงส่งในแผ่นกระดาษมากกว่าภายในรอยหยักก็ยากที่จะห้ามปรามความนิยมชมเชย รถราอุ่นหนาคราคร่ำด้วยคนหลากหลายจังหวัดที่ดั้นด้นมาเพื่อชักภาพกับบุตรหลานเพื่อนฝูง เป็นวัฎจักรเรื่อยไปจนวันหนึ่งคงเป็นสิ่งชินตาและเกลื่อนไปด้วยลัทธิปริญญานิยม 


ความล่มสลายในระบอบรัฐและเอกชนแบบผสมผสานใกล้เข้ามาทุกที มนุษย์ผู้ทำสิ่งลวงตาให้มีการยึดติดและขั้นระดับต่างๆเหล่านี้จะย้อนกลับมาทำร้ายองค์กรผู้คนที่ทำงานตากเหงื่อ การรื้อฟื้นระบบในให้กลับสู่ความโปร่งใสเลือนลางทุกที หวังพึ่งพาบัณฑิตใหม่ๆคงยากยิ่ง เพราะวัตถุนิยมและความสะดวกสบายปกคลุมสติปัญญาที่เป็นความต้องการในการพลิกฟื้นประเทศและสังคมนี้ไปสิ้น ป่วยการที่จะบอกว่าองค์กรและบรรษัททั้งหลายจะยืนนานในระบบต่อไป


ทำหน้าที่ของเราต่อไปภาพรวมองค์ใหญ่ใครเป็นผู้ลิขิต มือเล็กๆสมองลีบๆคงมีได้แค่อักษราพร่ำบ่นไปตามกาลเวลาที่รู้สึก 


แรงบันดาลใจหายไปแต่จะกลับมาเมื่อหยาดฝนโปรยอีกครั้งในวันรุ่ง

วันศุกร์ที่ 21 มกราคม พ.ศ. 2554

หยาดฝนกับดวงจันทร์

เมื่อเหมันต์ยาวนาน อาบแสงจันทราเบื้องบน ฟ้าใสโปร่งลมหนาวยะเยือกเคล้าคลอผิวกายที่พากันแตกกร้านยามอณูหนาวพริ้วผ่าน น้ำค้างยามเช้าเกาะแก่งอยู่ที่ปลายดอกหญ้าปลิวไสว บรรยากาศที่ผู้คนมากมายปรารถนาและคุ้นชินกับปฎิมากรรมธรรมชาติรังสรรค์วัน หนาว แต่ยามนี้ความหนาวเหน็บ กับแสงจันทราได้โรยราล่วงลง ความงดงามจางหาย เหตุเพราะจันทราเปล่งแสงแจกจ่ายมากมายพบเห็น มนต์เสน่ห์ต่อคนลดลง เป็นความธรรมดาของฤดูกาลที่ผ่านเปลี่ยน


แต่บัดนี้หยาดฝนเม็ดสวยโปรยลงมากลบ เงาของจันทราในหน้าหนาวหมดสิ้น ระหว่างที่เม็ดฝนร่วงหล่นจากบนฟ้าเหม่อมองลอดผ่านความใสเย็นสะท้อนแสงบดบัง แสงจันทราที่สาดส่องราวกับเส้นผมสลวยบดบังภูเขาที่ตั้งตระหง่าน สุขใจที่ได้เฝ้ามองแม้จะต้องเปียกปอนกับสายฝนเม็ดงามแต่ยามหนาวนี้หยาดฝนได้ ชโลมจิตใจให้ต่อสู้กับความเหน็บหนาวสกาวใจ 

อยากให้เจ้าได้รับสารนี้ ว่ายังมีชายเหงาเฝ้ารอหยาดฝนเม็ดงามโปรยปรายมาสู่กลางใจอีกครั้ง

วันพฤหัสบดีที่ 20 มกราคม พ.ศ. 2554

เป็นแค่ความลับ


โลกที่มีท้องฟ้ากว้างใหญ่ ฟ้ามีตากว้างไกล ไม่มีเรื่องใดในโลกาที่ฟ้าไม่เห็น ฟ้าต่างหากไม่บอกในสิ่งที่เราไม่อาจรู้  

ความ สัมพันธ์ทุกรูปแบบที่ก่อเกิดขึ้นบนโลกเสมือนของเราที่นิยาม ไม่อาจฉุดรั้งความใคร่รู้ของเหตุประจักษ์ที่ใช้สายตาและเครือข่ายมองเห็น สงสัยใคร่รู้มีทุกผู้ทุกนาม บางผู้อาจเล่าขานบอกต่อเชิงลบกระทำตำบอนให้เสื่อมเสีย แต่ก็เป็นเรื่องมุมปากที่ยากต่อการห้ามปราม อย่าได้แคร์ต่อสิ่งที่จรรโลงความเป็นมนุษย์นั่นคือ เรื่องติฉินสนุกปาก ส่วนกั้นของแต่ละบุคคลแตกต่างหลายชั้นระดับตามต้องการจะนึกคิด แต่โลกที่เราอยู่และเห็นสังคม ผู้คนได้ศิโรราบให้กับคำบอกต่อมานานนม แต่อย่างน้อยความสูญเสียที่ได้รับไม่สะทกสะท้านคนที่เจนกร้านในโลกของความธร รมดาสาัมัญอย่างเรา ไม่มีแม้ความคิดต่อ แค่สะแหยะยิ้มแล้วใช้ชีวิตปกติพรุ่งนี้ก็ยังกินข้าว เคล้าเมรัยได้อย่างเดิม 

จงอยู่กับสิ่งที่เป็นตัวตนของเรา เพราะมันเป็นสิ่งคุ้นชินที่คนอื่นยากจะเข้าใจ
จงละเลยต่อคำพูดหรือถ้อยคำที่บั่นทอนความสุขที่เรามีอย่างจำกัด
จงเลือกทำในสิ่งที่ชั่วบ้างหากความสุขชั่งแล้วมากกว่าทุกข์ในระดับฟ้ากับเหว
จงตัดสินใจให้เร็วในการทำชั่วปริมาณที่น้อยแต่สุขล้นเหลือ
ถ้าประเมินแล้วว่าทำดีอาจจะทุกข์ยาวนานและกลับมาเสียใจในภายหลังจงเร่งรีบหาโอกาสที่จะทำในสิ่งที่ต้องการ
เราไม่ได้อยู่ในโลกนี้เป็นหมื่นปี เราก็แค่มาอาศัยอยู่โลกนี้เพียงชั่วคราวด้วยกันทั้งนั้น
นิยามของ Jadenathee กับการเป็นคนดีจอมปลอม

วันพุธที่ 19 มกราคม พ.ศ. 2554

กาลเวลาแห่งอสงไขย(Infinity)

มิติแห่งกาลเวลาแต่ละดาราจักรซับซ้อนยิ่งเชื่อกันว่าโลกที่เราอยู่เป็นแค่ 1ใน4 ของมิติที่มีทั้งหมดนับล้านๆดาราจักร โลกสามมิติใบนี้ยังเคลื่อนไหวผ่านสุญญากาศทุกวันที่เปลี่ยนผ่าน ใจคนก็ผ่านเลย สิ่งยิ่งใหญ่กว้างกว่าจินตนาการทุกระดับผ่านกาลเวลานานเท่าไรที่จะเทียบเคียง เมื่อเพ่งมองปัญหารายรอบยังเป็นแค่เศษอณูของผงในจักรวาลที่อ้างว้างเศษมนุษย์ที่อิ่มเอมด้วยกิเลสตัณหา เปลี่ยนผ่านกาลเวลาของโลกบาล ก็ยังคงครุกรุ่นไปด้วย โลภ โกรธ หลง หากส่วนใหญ่ของชีวิตที่ก่อเกิดใหม่ไม่ยึดติดตามครรลองของสังคมที่เน้นอัตตาตนเองและกลุ่มเป็นสำคัญ คงก้าวพ้นสิ่งต่างๆ อารยธรรมที่หดหายคงกลับมา


ซับซ้อนสวยงาม หมุนตามเพลา
หลายผู้เรียกหา มนตราแห่งรัก

พ้นผ่านลบเลือน ย้ำเตือนตอกย้ำ
ให้ใจจดจำ คอยพร่ำสอนใจ

เจอะเจอร้ายดี ไม่มีเบื่อหน่าย
ก็เพราะหัวใจ นั้นไห้โหยหา

ในทุกทุกวัน สร้างสรรค์สิ่งใหม่
แต่กลับเหงาใจ เหตุใหญ่ใจความ

เพราะนางเนื้อหอม ดมดอมหลงใหล
บางครั้งหักใจ นางไม่ย้อนมา

วันนี้ปลดปลง เลิกหลงเพลา
ติดบ่วงเสน่หา มายาโซ๋ตรวน

วันอังคารที่ 18 มกราคม พ.ศ. 2554

Do you hear me ?

ฉันไม่รู้ว่าวันพรุ่งนี้ดวงดาวจะหายไปไหน ฉันไม่รู้ว่าวันพรุ่งนี้ท้องฟ้าจะเป็นเช่นไร แต่ฉันก็รู้หัวใจของฉัน
จะมีเพียงเธอ ท่ามกลางหมู่ดาว จะไม่มีความเหงาเข้ามากล้ำกราย ในตอนนี้ที่เรายังมีสัมพันธ์ที่ดีต่อกัน ไม่คิดฝันถึงวันอื่นแค่เมื่อคืนที่สุขล้น ก็เพียงพอที่จะต่อเติมพลังชีวิตให้ฟื้นคืน


ฉันไม่ได้มีใครเข้ามาในห้วงของหัวใจแสนนานและสัมพันธ์ลึกซึ้งที่เป็นไปก็เนิ่นนานที่ไม่ได้รับสัมผัส จงอย่ากลัวที่จะก้าวต่อเพราะในหัวใจว่างเปล่า สายตาก็ว่างเปล่าเกินกว่าจะเข้าใจ ดีแค่ไหนที่ยังมีความรู้สึกสุขทุกครั้งที่เราก้าวก่ายแนบชิดกัน อยากให้ได้ยินจากปากฉันคนเดียว อย่าผูกติดเหตุการณ์หรือสุ่มเดาตามอารมณ์เพราะจะทำความสัมพันธ์เราขุ่นมัว ขจัดความกลัวให้เร็วรี่ จะได้มีเวลาแห่งความสุขที่ยาวนาน


ไม่ได้มีรักแต่ก็เกือบเป็นทุกข์ สัมพันธภาพที่ล้นเหลือไร้ขอบเขตนิยามนี่มันยากเกินความควบคุมอย่างที่ผ่านมาจริงๆ

วันจันทร์ที่ 17 มกราคม พ.ศ. 2554

โลกหนักถ้าเราแบก

          แดดครึ้มที่ปกคลุมวันทั้งวันอาจทำให้ใจใครหลายคนหม่นหมอง หากลองย้อนมองความผิดพลาดหลังหนที่เคยผ่านเทียบเคียงอุปสรรคตรงหน้าต่างกันราวฟ้ากับเหว เมื่อสิ่งต่างๆเสียดสีผ่านพ้นไปกับเวลาที่นานเนิ่นจะพบว่าความงดงามของโลกยามนี้ ที่อยู่ปัจจุบันนี้งามงดหยดย้อย เกินความปรารถนาใด


         ปล่อยผ่านไปตามห้องหัวใจและปลายประสาท ครุ่นคิดเนิ่นนานหนักหน่วงถ่วงจิตให้ลึกต่ำดำมัว สู้คิดถึงปัจจุบันที่เรากำลังหายใจเข้าออกอย่างช้าๆ บางผู้หลงลืมจำเสียไม่ได้ว่าครั้งสุดท้ายที่หายใจเต็มปอดนั้นเมื่อไร หายใจลึกๆชีวิตจะยืนยาว หายใจสั้นๆชีวิตก็จะอับแสงสั้นลง นี่คือสิ่งที่จริงแท้ที่ร่างกายรังสรรค์ให้ต่อสู้กับสภาวะอากาศและฃีวิตในโลกปอดแหก 


          ฉันจะไม่แบกโลกแบกปัญหาเอาไ้ว้ ถ้าฉันรู้ว่าปัญหานั้นมีทางแก้และทางออก ฉันจะไม่ทุกข์กับเรื่องที่ฉันแก้ไขไม่ได้ เรื่องอะไรจะต้องขมขื่นอกตรมกับสิ่งที่นอกเหนือความควบคุม อักษรแปลงบางช่วง  ของ รศ.ประทุมพร เจ้าของนามปากกา ดวงใจ

ชีพโคจร

อากาศที่เหน็บหนาวไม่อาจฝืนจังหวะของชีพจรที่ลุกเต้น แม้จะไม่เร็วรี่ ลุกลนเหมือนวันที่มีแรงจูงใจเดิมพัน แต่ก็เป็นเครื่องบ่งบอกว่าชีวิตต้องดำเนินต่อไป ตามเหตุและปัจจัยที่ก่อ วันที่สิ้นสุดเส้นขอบของจุดหนึ่งของก้าวเดินใกล้เข้ามาถึง เมื่อสังคมการทำงานไม่อาจตอบสนองทั้งในสิ่งภายในและความสามารถที่แท้จริง การทำสิ่งที่ฝืน ต้องทนกับอะไรนานจนเกินไปรู้สึกชีวิตสูญเสียโอกาสและทำให้เราเข้าใกล้ความฝันน้อยลงเรื่อยๆ


กลางคอนกรีตสีชมพูแสงแรกจากดอยสุเทพกำลังจะเริ่มสาดส่อง และหนึ่งชีวิตเริ่มเคลื่อนย้ายไปยังจุดหนึ่งโดยความปกติสุขและทุกข์ปนเปเพื่อรอรับเพลาเย็นย่ำที่ต้องกลับมา กินข้าวสั่งตามร้านใต้ตึกคอนกรีตอีกครั้งแล้วกลับเข้านอนในช่วงหัวค่ำเพื่อตื่นขึ้นทุกๆ 2 ชั่วโมงกดจอทีวีให้เปิดขึ้นและตั้งเวลาซ้ำไปซ้ำมา


กิจวัตรที่ผูกติดไม่อาจแก้ไขให้หายขาดมีเพียงวันที่เธอมาช่วยเยียวยาความเหงาโศกฝังลึกแม้แต่ตัวเรายังไม่อาจรู้สึกถึงช่วงเวลาดังกล่าวเพราะมันแทรกตัวเป็นสิ่งที่เป็นประจำ


ความคิดถึงห้ามไหวได้ปาน 
ประหนึ่งประหัตประหารลมหายใจรือ 
คืนนั้นทุกค่ำเช้า กลิ่นนั้นยังครวญ


ตาโศกอาบใบหน้าสวยสด
สะกดจิตชายได้สิ้น ละเมอเพ้อภพซบดิน
มลายสิ้นพลันยินยลนาง

วันอาทิตย์ที่ 16 มกราคม พ.ศ. 2554

ตัวตนจากไปเหลือไว้เพียงอักษรา

 มีข้อความที่อ่านง่ายและความหมายเป็นนิรันดร์สัจธรรมเที่ยงแท้แห่งชีพที่ผมพบเจอจากสกู๊ปหนึ่งหยิบยกมาให้เตือนจิตเมื่ออ่านบล็อกของตัวเอง  สาระคุณอนันต์จากภาษาง่ายๆคงสะกิดใจใครหลายคนให้คำนึงถึง แม้จากไปแต่ขอเหลือไว้เพียงอักษรให้คนรุ่นหลังได้ย้อนรำลึกถึง

การทำชีวิตให้เป็นประโยชน์ที่สุด และมีความสุขที่สุดในทัศนะของฉัน น่าจะเป็นดังนี้ คือ

๑.ปฏิบัติภารกิจในหน้าที่ให้ดีที่สุด สมบูรณ์ครบถ้วนที่สุด อย่างเต็มใจและอย่างสนุกที่สุด ภารกิจใดถ้าคิดว่าต้องฝืนใจทำ ทำแล้วไม่สนุก ทำแล้วเกิดความทุกข์ เกิดความกดดัน ทำให้เคร่งเครียด ฉันจะพยายามหลีกเลี่ยงให้ไกลที่สุด

ฉันมีวิธีเลือกภารกิจของฉันดังนี้คือ

๑.๑ ทำงานชนิดที่ชอบ ทำด้วยใจรัก ทำแล้วสนุก ทำแล้วมีความสุข

๑.๒ ทำงานที่ให้ประโยชน์แก่เพื่อนร่วมโลก

๑.๓ ทำงานที่ให้ค่าตอบแทนเป็นเงินตรา หากฉันยังคงมีความต้องการด้านนี้

๑.๔ ทำงานที่ให้ความสุขแก่ผู้อื่น แม้จะไม่เป็นประโยชน์ใดๆ ก็ตาม (แต่ต้องไม่ผิดกฎหมาย และผิดศีลธรรม)

๒. คบคนที่คบแล้วทำให้จิตใจสบาย ร่าเริง เบิกบาน เปิดสมองและโลกทัศน์ ฉัน ไม่กลัวว่าจะมีเพื่อนน้อย หากเพื่อนเพียง ๒ – ๓ คน ที่ฉันคบสนิทด้วยทำให้ฉันสบายใจ ผู้ใดที่ทำให้ฉันรกตาด้วยภาพ รกหูด้วยคำพูด รกใจด้วยเรื่องร้าย ฉันขออยู่ห่างที่สุด

ฉันจะไม่ “แบกโลก” ฉันจะไม่เป็นคนเจ้าทุกข์ ฉันจะไม่ทุกข์เกินขนาดที่ควรทุกข์ ฉันจะต้องเตือนใจตัวเองว่า

- ฉันจะไม่ทุกข์ต่อเรื่องที่แก้ไขได้ เพราะหากฉันสามารถแก้ไขได้ ฉันก็ไม่จำเป็นต้องมีความทุกข์

- ฉันจะไม่ทุกข์ต่อเรื่องที่แก้ไขไม่ได้ เพราะต่อให้ฉันทุกข์จนหน้าไหม้ใจขมไปหมด ฉันก็ยังแก้ปัญหานั้นไม่ได้ แล้วฉันจะปล่อยให้ความทุกข์มาครองใจฉันจนถึงวันสุดท้ายแห่งชีวิตของฉันด้วย ประโยชน์อันใด

รศ.ประทุมพร วัชรเสถียร นามปากกา "ดวงใจ "

แดดจางบางละุมุน

เช้าแรกของวันทำงานที่แสงแดดแดงระเรื่อเหนือขอบฟ้าดอยสุเทพโลกเชียงใหม่ ขานรับเสียงชีพจรที่ตื่นจากภวังค์ ระเรื่อตาเบาบางทะแยงลอดเมฆนุ่มๆสอดรับกันด้วยตาเปล่าลอดแว่นกันแดด ช่างดูโดดเดี่ยวแต่มีนัยทางชีวิตและความหวัง  เหม่อมองสุริยาแต่สายตาคู่นั้นยังคงเรียกร้องครวญหา แม้ไม่ได้เอื้อนเอ่ย แต่กลับสะกดทั้งสองแนบชิดเคียงกันในฝันขนานจริง เมื่อไฟโหมพัดระคนปนเหว่ว้า เธอจะมาและเราจะลอยข้ามฟ้า ไปหาหมู่ดาวด้วยกัน ไม่มีบทนิยามสำหรับสองเราที่ผ่านขวากหนามในชีวิตและยังติดเกี่ยวกันต่อไปในเบื้องของตน

พ้นผ่านสัญญาณต่ำเมื่อวันหยุดที่ทุกอย่างดูหยุดนิ่งอยู่กับความคงที่ของสัญญาณฃีพ จากมืดมัวสดใสสลับสับเปลี่ยนแวะเวียนระคนปนเหงาเร้าใจรวนเร ดั่งคลื่นโหมกระหน่ำเป็นระรอกของอารมณ์

ความลุ่มหลงเริ่มก่อตัวแอบซ่อนอยู่ในหลีบของจิต รู้ว่าต่างทำได้แค่อยู่กับความจริงของเรา เพราะเป็นความสุขเดียวในช่วงเวลาตราบาปที่เราต่างสร้างเงื่อนไขร่วมกัน ยังคงไต่ระดับจนถึงจุดยอดแล้วทุกอย่างก็ดำดิ่งเป็นสัจธรรมที่เถรตรง 


ความต้องการด้านต่างๆหมดสิ้น สุดขอบ ไกลหลายปีแสงแต่จิตดวงนี้วนเวียนวกวนอยู่กับชีวิตที่หม่น ที่ยากแท้น้อยนักตระหนักรู้ถึงตัวตน


ชีวิต ความรัก ความหลงใคร่ ความต้องการจากไป เหลือไว้ เพียงกลิ่นจางๆของอณูเล็กๆใต้ผ้าฝ้ายนวมใหญ่ แล้วเธอก็วนกลับมาเป็นพลวัตที่ต่อเติมชีพจรโทรมให้ก้าวเดินต่อไปในโลกที่บิดเบี้ยวท่ามกลางซากปรักหักพังของหัวใจ
 

สัญญาณ wireless เชื่องช้ากว่าใจของคนเสมอ

ริเริ่ม รั้งรอ ต่อเติม

วันศุกร์ที่ 14 มกราคม พ.ศ. 2554

ชนชั้นนำ ชนชั้นกลาง ชนชั้นล่าง

ความเลื่อมล้ำทางสังคม(Gap)ระหว่างชนชั้นนำ กับชั้นล่างห่างกันมากแต่มันก็เป็นความสมดุลที่ทุกมุมในสังคมโลกนี้พบเจอการสร้างเงื่อนไขเรียกร้องให้กับตนเองว่าไม่แฟร์ถูกเอาเปรียบจากเบื้องบนหรือเบื้องล่างย่อมไม่เกิดผลดีต่อคนส่วนใหญ่ เพราะแรงกระเพื่อมทางสังคมมันแตกต่างกว่าเก่า  ไม่มีใครนิยามคำว่าไพร่หรืออำมาตย์เพราะเมื่อคุณกระโดดเข้ามาในวงการล่าเนื้อ ไพร่ชั้นสูงหรืออำมาตย์ชั้นต่ำก็ต้องบอบช้ำจากความขัดแย้ง นี่คือสัจธรรม 


คนชั้นกลางถึงล่างอย่างเราๆท่า่นๆคงได้แต่แหงานมองและก้มดูชะตาชีวิตของตัวเองและคนรอบข้างต่อไป


วันนี้มาเต็มด้วย Concept ส.บ.ม. ไม่ใช่สะบึมมาก แต่ สนบ้านเมืองต่างหาก อย่าเครียดนักไม่นานคงยุบสภาฉลองสงกรานต์เพื่อล้มกระดานวางหมากกันใหม่ ไม่มีมิตรและศัตรูถาวรเพราะโลกนี้คือละครไม่เว้นแม้แต่การบ้านการเมือง 


ปล.ผมเป็นคนตาบอดสี ไม่เลือกข้างแต่จริงใจในทรรศนะ พอละไปฟังเพลงคนข้างล่าง( a cover by Jadenathee slum603 @ nimman)ดีกว่าของเค้าดีจริง เหอๆๆ เกี่ยวกะการเมืองมั้ยเนี่ย




วันพฤหัสบดีที่ 13 มกราคม พ.ศ. 2554

เหมือนฝันแต่สวย

วลีที่เนิ่นนานจากหนังรักฟากฝั่งตะวันตกเรื่องหนึ่ง ไม่มีความต่อหมายใดชัดเจนมันมีความเข้าใจตรงตามตัวอักษรา ชีวิตที่พึ่งพาความฝันเกินกึ่งหนึ่งยากต่อการหักห้ามใจเมื่อเผชิญกับสิ่งสวยงามที่ย่างกรายเข้ามาแบบไม่ทันตั้งตัว ก่อเกิดอารมณ์มากมายจนไม่สามารถบอกต่อหรือเล่าในสิ่งที่สัมผัสถึง ชั่วชีวิตของคนรายรอบคงเคยพบเจอ ดังกลอนแปดของท่านสุนทรภู่ ที่อุปมาเมรัยกับดวงใจไว้อย่างคล้องจิต


"อันเมาเหล้ายังดีกว่าเมารัก สุดจะหักห้ามจิตคิดไฉน
ถึงเมาเหล้าเช้าสายก็หายไป แต่เมาใจนี้ประจำทุกค่ำคืน"


ไม่มีเหตุผลที่จะพร่ำเพ้อแต่มันคือสิ่งที่จริงแท้ว่า่คืนนี้ก็ต้องกลับเข้าสู่วังวนของเงามืดที่คุ้นเคย ล่องลอยสู่ความใคร่หลงใหลในอิสตรี รูปรสกลิ่นเสียงและสัมผัส มาเต็ม ทุกโสตประสาทคงได้ตื่นจากภวังค์อีกครา ไม่เคยนึกแปลกใจว่า สิ่งที่เกิดผ่านมามันคือตัวตนและสิ่งที่เป็นหล่อหลอมให้พบเจอกับความเดียวดายหลีกไกลจากความสัมพันธ์เชิงคู่ คิดอ่านด้วยสัมพันธ์เชิงเดี่ยว สุดท้ายปล่อยไปตามหัวใจโทรมๆก้อนหนึ่ง ที่เต้นรัวทุกครั้งที่เจอกับสิ่งคุ้นชิน

วันพุธที่ 12 มกราคม พ.ศ. 2554

มายาคติ (Myth)

โลกแห่งมายาที่ผูกจิตให้เอนเอียงอ่อนโอนไปตามกระแสสังคมภิวัฒน์ที่เชี่ยวกราด ทำให้ผู้คนที่เราพูดคุยมีปฎิสัมพันธ์ส่วนใหญ่หลงลืม จุดออริจิ้น(Origin)ของตัวเองจากที่มามีที่ไปแต่กลับไม่เคยคำนึงหาเรื่องราวระหว่างทาง คิดฝันแต่อนาคตที่อยากใคร่ ไม่ได้ใส่ใจคนรอบข้างเหยียบย้ำหัวหางจมธรณี ถูกกลืนกินด้วยวิถีแห่งซาตานวัตถุ วันที่อะไรๆดูเหมือนคล้ายกันไปซะทุกอย่าง ในห้องสี่เหลี่ยมเล็กๆยังมีทางเลือกของแนวคิดที่อนุรักษ์นิยม(Conservative)อยู่มาก แต่ขนาดแรงผลักทางสัมคมแนวดิ่งให้กล้าเผชิญต่อสิ่งลับลวงตาทั้งหลาย ความเข้าใจในระดับต่างกันจนการสื่อสารเริ่มติดขัดและหาความพอดีไม่เห็น สุดท้ายได้แต่เฝ้ามองการเคลื่อนที่ของสรรพสิ่งให้เป็นไปตามเหตุและผลของมัน

ความคิดถึงความคาดหวังก่อเกิดตามมาจากสัมพันธ์สวาท เป็นสิ่งที่ทำร้ายใครมานักต่อนัก แต่ในสภาพและเหตุการณ์ที่เป็นอยู่กลับแตกต่าง ห่างไกลจากที่พบเจอ ลึกซึ้งมากมายความอาทร ปฎิเสธกับร่างกายไม่ได้ถึงสิ่งที่เสพ อ่อนโยนเหมือนผีเสื้อ เร่าร้อนดังไฟมรสุม เหน็บหนาวท่ามกลางการรอคอย เพราะโลกเสมือนที่เราพบกันมันยิ่งกว่าฝันกลางวันแสกๆแต่ มันชัดเจนและจริงจนรู้สึกได้ว่าเนิ่นนานและคงยากที่จะดับไฟที่เราช่วยกันโหมกระหน่ำให้มันลุกโชนส่วางจ้า 

อุปมาไปไกลสิ่งสุดท้ายก็คือไม่มีคำว่าพอ อาจต้องทุกข์ต้องทนทรมาน เพราะเมื่อความจริงค้นหา ผู้ถูกติดตามอย่างเราคงต้องยอมสิโรราบตามสัจธรรม

วันอังคารที่ 11 มกราคม พ.ศ. 2554

เมื่อความมืดปกคลุม

ความมืดดำแห่งรัตติกาลครอบคลุมเรื่องราวรวดเร็วรุดหน้า ซ้ำเดิมภาพฉายของความขุ่นมัวทางความสัมพันธ์ เมื่อน้ำมันกับกระดังงาไฟที่เร่าร้อนถาโถมเข้าใส่กันสิ่งที่ย่อยยับคือ คือราคะที่ก่อเกิด เหมือนดั่งความฝันที่สุขล้นด้วยตัณหา นั่งเหม่อมองถึงวัฎจักรเดิมที่เริ่มขึ้น


เมื่ออาหารไม่อาจสนองความอิ่มเอมทางกายได้อย่างแท้จริง ต้องลิ้มลองสมสู่สิ่งที่ทำใหอิ่มหนำทางกายาจิต ปล่อยให้มันเป็นไปตามยถากรรมแห่งความมืดดำ


คืนดาวฝนโปรย อ่อนระโหยโดยฝน หวังกอดก่ายใครซักคน ให้ผ่านให้พ้นอาดูร
ดั่งมีเมฆใหญ่บดบัง ฟ้าคลั่งน้ำหลั่งลงตลิ่ง หัวใจแนบซบไอดิน แดดิ้นอดสูเดียวดาย
อุบัติพบเจอจันทรา กลางป่าพันธนาการงามยิ่ง ฉุดร่างขึ้นจากพื้นดิน เหม่อมองทุกสิ่งกลับกลาย
แววตาจันทรางามงด ไม่อาจอดห้ามใจได้ไหว จึงได้ทอดตาเอนกาย มอบหมายเผลอใจไปกับจันทร์


นิราศคืนหนึ่งในภวังค์ Jadenathee รศ.2011

วันจันทร์ที่ 10 มกราคม พ.ศ. 2554

เหมันต์หลากฤดู

กราวิตรอนที่มีอยู่แต่ในทฤษฎีแต่สัมผัสได้ยากเฉกเช่นโฟตอนในยุคแรกมืดดำด้วยทฤษฎ๊ปีศาจ ไม่มีคำตอบจากเบื้องบนถึงความเป็นในสุญญากาศและบรรยากาศ เหมือนตอนที่ฟ้าครึ้มมืดช่วงเช้าโปรยเม็ดฝนอ่อนท่ามกลางเหมัต์หนาวอุ่น แต่กลับไร้ความสำนึกในความดีและเป็นไปของจริยธรรม ยังคงเดินหน้าสู่เส้นทางสายสีเทาเคียงข้างเงาของสิ่งร้าย ไม่รู้ว่าจะออกจากวังวนนี้ได้เมื่อไรกัน

อักษราที่ขับกล่อมในกมลสันดานเต็มไปด้วยความผูกพันธ์ในภาษาที่คุ้นเคยกับกิจวัตรหน้าจอ วันที่มีแต่สิ่งรกสมองลองตรึกตรองดูถึงวันวานและพรุ่งนี้ แทบหยุดนิ่งแรงบันดาลใจถดถอย ขอเพียงแววตาู่นั้นที่สวยโศกมองมาคงมีเวลาในเย็นย่ำได้สนทนากันถึงความเป็นไปได้

ไร้ทฤษฎี นิยาม และเหตุผลเชิงตรรกะ กับสัมพันธภาพที่ซับซ้อเชิงสังคมและกระโดดออกจากสิ่งที่เป็นพลวัตที่เค้าทำๆกัน ผิดแต่ก็ยอมไม่เป็นไร

สิ่งสุดท้ายในแดดรำไรที่มองไม่เห็น คงว่างเปล่าไปจนถึงกาลเวลาที่แดดส่องสะท้านอีกครั้งจึงจะมีพลังชีวิตที่สมบูรณ์ 

อารมณ์ = อัตตา + X(นารี /ตัณหา)


สมการเชิงเส้นแห่งความทุกข์

พานพบสบตาภาษาร่างกาย

วันที่สายตาเอื้อนเอ่ย แววตาหมองเศร้าแ่ต่เร้าอารมณ์ใคร่ นัยตาคู่นั้นมันเปรียบดังกระดังงาเกรียมไฟแผดเผาลูกตาที่เหม่อมองร้อนวูบวาบ คงเป็นอารมณ์ก่อนกำเนิดเกิดมาของตัณหาราคะหรือสิ่งที่ไม่มีบทนิยาม มากมายพบเจอ แต่กับไม่รู้จุดกึ่งกลางของสิ่งที่พอ หรือ ดี


เพียงฝันที่ล่องลอยก็สะท้านไปทั้งหัวใจ ก่อเกิดตัวอักษรามากความหมาย ลึกซึ้งล้ำเกินเกินกว่าจะพรรณนา พระจันทร์ที่เต็มดวงคงไม่รับรู้ถึงเสี้ยวหนึ่งในอารมณ์


ชายรูปบางกลางลมหนาวกางเกงตัวโปรดเสื้อโทนดำราวกับไว้ทุกข์ให้รัตติกาลที่เยือกเย็น เตร็ดเตร่อยู่ท่ามกลางแสงดาวราวไฟในเมืองใหญ่ มุ่งหน้าสู่วิถีเดิมๆในร้านเหล้าดังกับกลุ่มเกลอสาวที่เข้าใจถึงสถานะและสิ่งที่เป็นอยู่ดีแท้แน่สนิทใจโดยไม่ต้องเอ่ยปาก


คิดถึงแววตาคู่นั้นที่ทำให้ใจสั่นไหวราวกับซดคาเฟอีนสด เวลาในโลกจริงเธอมีพันธะยิ่งใหญ่แต่ในด้านฝันวันมืดเราจะอยู่เคียงคู่ประสานสอดสายตาเกาะเกี่ยวความสัมพันธ์กัน จะรอถึงวันพรุ่งนี้ค่ำคืนที่จะจดจำไปอีกหนึ่งเรื่องราวของความชั่วร้ายในสังคมซับซ้อนซ่อนใจและกายในนิมมาน

วันอาทิตย์ที่ 9 มกราคม พ.ศ. 2554

กวีกวาด (Poet)

ทฤษฎีสัมพันธภาพของใจไฉนละเลยความดิบเถื่อนของปัจเจกชน เคล้าปนหนหลังในอดีตร้าวราน หรือเพื่อก่อผสานสิ่งลวงตา ชักพาใหเคลิ้มหลง ปลดปลงเสพสมแล้วจากลา

เมื่อครั้งยังเป็นเล็กเด็กน้อย ค่าด้อยปัญญาน้อยค่อยศึกษา แต่เมื่อเติบใหญ่กลับโง่เขลาเบาปัญญา สิ่งที่ว่าไม่ใช่ปัญญาในด้านการเรียน แต่หากเป็นคนเขลาในด้านจิต เพราะชีวิตคิดหนักสั้นยาวไม่ว่างเว้น ปลงไม่ปล่อย ค่อยๆปลงแต่ลงไม่เป็น ยังคั่งค้างดังเช่นในอารมณ์ 

ดั่งสุมทุมพุ่มไม้หนาแน่นอก ไร้เงาปกคลุมกายให้คลายเหงา วันทั้งวันผ่านไปยังไร้เงา ผู้เคียงเข้าใจหัวอกคนตกตรม

สามวันดีสี่วันไข้ได้อารมณ์ ออกไปชมเรือนร่างกลางเมืองใหญ่ ทั้งที่มีผู้คนมากมายแต่เหงาใจ นี่กระไรคนเขลาที่เราเปรย

มีสิ่งดีเข้ามาเห็นเป็นกงจักร ต้องช้ำหนักรักคุดสุดโหยหา ร่างกายนั้นเดินไม่ตรงคงทุกครา เพราะฤทธิ์ทราเมรัยใจอับปาง


วันที่ผ่านพ้นทุกข์สุขนั้นไซร้ จะได้สัมผัสเมื่อไรยังถามถึง ฟ้าสว่างกลางถนนนิมมานเหมินทร์ คงได้ยินได้ยลปนน้ำตา


ท้ายบทกลอนโคลงกาพย์ที่ว่านี้ อาจไม่มีฉันทลักษณ์เสนาะหู แต่เกิดจากอารมณ์เปลี่ยวเลี้ยวลดคู ท่านจงดูเถิดคนเขลาเอาแต่ใจ

พลวัตหมุนเวียน

ได้ยินเรื่องราวของใครหลายคน จากบนถนนที่ล้วนลวงหลอก และอีกหนึ่งคนในร้านกาแฟดอยหนึ่งในเชียงราย ใจกลางนิมมานกับความสัมพันธ์ที่ไร้ความคาดหวังแต่ลึกซึ้งในแววตา มันเป็นอีกหนึ่งความสัมพันธ์ที่เข้ามาและคิดว่าคงจะจากไปในเวลาอันใกล้ ฟังเรื่องราวชีวิตหมุนเวียน พ้นผ่าน พร่ำบอกถึงการเสียดายเวลาที่มีค่าผ่านมาแล้วเล่าแต่เข้าใจ 


ไม่รู้สึกแปลกซักนิดเพราะมันมากมายหลายมิติที่เวียนวนเข้าใจแล้วเข้าใจซ้ำกับความเบื่อหน่ายของสิ่งเดิม แต่เธอก็เป็นอีกหนึ่งชีวิตที่มีรูปแบบ สดใสในวัยที่สมควรแก่ครอบครัวและชีวิตแม่ของลูก อย่างน้อยแววตาของเธอก็งดงามแฝงสิ่งเศร้าเล้นหลบ เฉกเช่นแววตาของเรา เมื่อเราสบตากันมันมีบางอย่างบอกเล่าว่าในเร็ววันมันจะหนักข้อขึ้่น และไปกันใหญ่


มื้อเย็นที่หลีกหนีจากกลุ่มเพื่อน คนเดียวกับมื้อเดิมๆ ร้านเก่าๆริมถนนนิมมานเหมินทร์ กลับมาอยู่กับตัวเองพร้อมที่จะต่อสู้กับระบบในองค์กรที่จำเจ รอคอยเวลา วารีที่จะเข้ามาเปลี่ยนสิ่งเก่าๆ


มอคค่าที่หวานหยาดเยิ้มด้วยแววตาของเธอ

วันเสาร์ที่ 8 มกราคม พ.ศ. 2554

ท่ามกลางเดือนมืดยังมีจันทรากรงทองส่องไสว

ความสัมพันธ์มากมายผ่านเข้ามาแต่ไม่วายพบเจอกับสิ่งเก่าๆที่เราไม่ได้เป็นเจ้าของ และจับจองแต่ก็ก่อเกิดการเริ่มต้น เมื่อหมางเมินต่อครรลองที่ดีงามก็จะสนอะไรสะแหยะยิ้มให้กับสิ่งที่จะเกิดต่อไป ไฟกับน้ำมันใกล้กันมันก็ชิบหาย ความร้อนแรงเร่งรักเมื่อเธอออกจากกรงทองคงเมื่อนั้นความฝันเราจะสานต่อ

คืนเหงาและขาดเงาของคนเก่าที่ผ่านเข้ามา ยังคงเดินทีละก้าวไปยังอโคจรสถานที่เปี่ยมไปด้วย ญ ชาย ทุนนิยมรัดตื้วทั้งตัวและรสนิยม แทรกตัวอยู่กลางเสียงดนตรีและผู้คน เจอะเจอผู้คน ดารา หลากหลายความสวยงามเปรียบดังอยู่เบื้องหน้าตู้ปลาสวยงามขนาดใหญ่ ที่ดูสวยงามแต่จับต้องได้ยาก


หยุดความหมางเมินที่ขัดแย้งกับสิ่งที่อยากดอมดมได้เราคงมีชีวิตที่ดีขึ้นกว่านี้ อีกสัปดาห์ที่ว่างเปล่าไม่คุ้มค่าไม่เต็มหน่วยที่คิดไว้ความเต็มเม็ดมันก็ไม่บังเกิด ไร้มิตรภาพที่เที่ยงแท้ ไม่มีมิตรภาพก็ไม่มีใครนัดหมายเรามา...

คนชายขอบ

น้อยคนที่จะมองเห็นส่วนใหญ่ของพระจันทร์ยิ้ม มันช่างแสนจะดูมืดดำ แตกต่างจากส่วนสว่างอย่างสิ้นเชิง ชายขอบล่างของสังคมกระแสหลักยังมีมุมเหงาของเงาชายที่ไร้วี่แววของแสงสว่าง อีกคืนที่ใจสั่นเพราะฤทธิ์เดชของเมล็ดกาแฟสด หรือจะต้องงดคาเฟอีนไปชั่วชีวิน 


ยังคงเดินทางตามรอยดาวแสงจ้าของคืน เดือนหม่น ตามมาไกลเหนื่อยล้าแต่ไม่ย่อท้อต่อรอยทางที่แตกระแหง มื้อเที่ยงแรกกับมารดาในปีกระต่ายยังรู้ว่ามีคนหนึ่งที่หวังดีเสมอกับเราก็ คือ ญ ผมผสมสีวัยห้าสิบกลาง รักแม่นะครับ สิ่งที่ไม่เคยบอกเป็นรูปธรรม แต่ในใจรู้สึกเสมอ เมื่อแม่คิดถึงลูกชายให้มองเด็กน้อยเตะบอล ภาพทรงจำที่แม่คงคุ้นเคย


ไม่รู้ค่ำคืนนี้จะมีโลกียะสุขแบบคาว หรือหวาน ขอเสพสุขตามประสาคนขอบล่างของสังคมนิมมาน ว่ากันว่าเป็นจุดที่สังคมทุนนิยมฟูเฟื่องที่สุดแห่งหนึ่งในเมืองไทย แต่ไหงกลับไม่สะทกสะท้านกับกระแสดังกล่าว


ผมเป็นทหารเรือกินเนื้อไม่กินน้ำ ผมเป็นทหารยามกินน้ำไม่กินเนื้อ ...แต่ผมจะกินทั้งสองอย่าง เพราะเป็นแค่คนธรรมดา 555

วันศุกร์ที่ 7 มกราคม พ.ศ. 2554

โหยหา

บางมุมที่มีความอบอุ่น ร้านเหล้าเล็กๆที่มีมากมายกว่าบรรยากาศ อันวิจิตรของศิลปะ ดนตรี กวี มันมีมิตรภาพ เล่าขาน สิ่งโน้มเอียงและเข้มข้นด้วย ภายใน 

บางผู้ปรารถนาลายเพลงแคนอันแสนไพเราะ ย่อมสัมผัสได้ ณ ร้านแห่งนี้ บางคนต้องการพบเนื้อคู่บุพเพสันนิวาส อาจพบเจอได้ ณ สุนทรีย์สถานแห่งนี้

แต่ข้าพเจ้าโหยหาทั้งท่วงทำนอง ดนตรี และคนรัก


สุดสะแนน 12 ปี

และวันที่จะต้องจากลานิมมาน Road ไป28 hour เพื่อสิ่งโสมมและสิ่งเก่าๆจะกลับมาพร้อมพรั่งในวันที่ฟ้าสีเทา



โลกเสมือน (Simulation)

โลกเสมือนหัวกลับที่พบเจอเมื่อวานเกือบเป็นโศกนาฎกรรมรักร่วมเพศที่อันตรายต่อทวารหนักเหลือคณานับ โชคดีที่ยังมีสติเอาตัวรอดจากวิกฤตความบ้าคลั่งของเกย์ย้อมเมาที่ทำเราเกือบแย่ แต่ก็เป็นอีกหนึ่งประสบการณ์ที่สังคมมันแปรเปลี่ยนคนใกล้ที่เคยไว้ใจปรับเปลี่ยนรสนิยมกันง่ายๆดื้อๆกันอย่างนี้ๆ 


สุดสัปดาห์ที่ต้องกลับไปทำสิ่งที่มืดดำโลกแห่งความสุขแบบผิดๆกลับมาอีกครั้งแต่มันก็เป็นแรงปรารถนาที่ขับเคลื่อนของคนทั้งสองต่อสู้เย้ยหยันกับบาปกรรมที่ครุกรุ่นในทุกเรือนร่า่งเสพสมกลอุบายหลากหลายเล่ห์ ก็เป็นเช่นนั้นเอง ตัณหาแห่งโลกเสมือนที่เป็นจริงในช่วงเวลาหนึ่ง


ถ้าวันนี้ไม่มีแสงดาวนำทาง ก็ไม่อาจคลำทางจากสิ่งมืดดำในใจไปหารอยทางเสพสุขตามวิถีได้ เมื่อไรที่ฟ้าเป็นสีเทาเราคงกลับมาสู่หนทาง ของคนดีอีกครั้ง แต่ตอนนี้มีแต่ ดำและขาวโรยทางสองฟากฝั่ง แปดเปื้อนด้วยโลกียะ ไร้ซึ่งธรรมะข่มใจ แปลกไปนะเราที่เฝ้าทำผิด แต่เมื่อพินิจกลับพบว่า เสพติดมันเข้าไปแล้ว


ไม่รู้จะหนีกงกรรมกงเกวียนนี้ไปได้เมื่อไรกัน 

ฝนโบกขรพัตรจงชะโลมลงดินชะล้างสาปส่งความชั่วนี้ออกไปจากตัวข้าทีเถิด

วันพุธที่ 5 มกราคม พ.ศ. 2554

ลัทธิอารมณ์นิยม

แทรกตัวอยู่ในห้วงอารมณ์ที่จำกัดจำเขี่ยของมุมที่หักเห วนมาพบเจอทุกคราวที่รู้สึก


ถามไถ่ถึงอนาคตไม่มี ปัจจุบันแค่ต่อสู้กับความคิดของตัวเองก็แทบแย่ อดีตที่ผ่านมาเหมือนฟ้าสั่ง
มีเพียงลมหายใจรวยรินของความหวังที่จะต่อเติมสิ่งเล็กน้อย ไร้หมดสิ้นกำลังใจ ว่างเปล่า โดดเดี่ยวสูงชัน เยือกเย็น อารมณ์เข้าครอบงำจนถึงขีดจำกัดบนที่สูงเกินค่าแห่งความเป็นจริง กลับไปสู่สิ่งมืดดำที่ซ่อนตัวอยู่ในกมล คงยากที่จะออกจากจุดที่เคยยืน

 เมื่อจะสร้างลัทธิใหม่ต้องปราบแม่มดให้หมดสิ้นก่อน   ไม่มีความแปลกใหม่ในนิยาม


วันที่ต้องอยู่ห่างไกลจากความจริงเข้าไปอีกก้าว การหลับที่ต้องตื่นในทุกสองชั่วโมงมันเหมือนสมองเหนื่อยล้าครุ่นคิดสะดุ้งตื่นเพื่อทำสิ่งเก่าๆ มันทำไมต้องเกิดกับเรา

cast away

ถึงผมจะเป็นคนมีอดีตแต่ก็ไม่มีอนาคตนะ เหอๆๆ


อนาคตภาพของเราจะเป็นเยี่ยงไร เมื่อมองผ่านป้ายโฆษณา อีก 9 ปีข้างหน้าทำให้อดคิดไม่ได้ว่าวันนั้นเราคงจะเป็นชายกลางคนอายุ 35 ที่ผ่านร่องรอยแยกของเปลือกโลกในอดีต รอยเหี่ยวย่นของความเหงา คงไม่ต่างอะไรจาก 9 ปีที่แล้ว ที่ต้องอยู่กับความมืดด้านความรัก แต่แท้จริงแล้วเราก็ไม่ได้แสวงหาความสัมพันธ์เชิงลึกที่คู่รักหลายหลากในโลกนี้เค้ามีกันไม่ใช่หรือ


มองดูดวงดาวก็ยังเป็นดาวดวงเดิม แต่สิ่งที่แปรเปลี่ยนไปก็คือใจของเราเองทั้งนั้น วันใดที่เศษดาวล่วงหล่นลงผืนดินวันนั้นคงจะเป็นวันที่ปลดเปลื้องทุกอย่าง จะมีใครฉุดมือเอื้อมคว้าดาวร่วมกันก่อนที่มันจะสลายหายไปในคืนอันมืดมิดซักวัน


หรือจะต้องติดเกาะกลางของใจเราเองไปจนวันสุดท้าย

วันอังคารที่ 4 มกราคม พ.ศ. 2554

ห้วงมหรรณพ

แล้ววังวนของชีวิตก็กลับมาสู่จุดที่เคยยืน ยังไม่รู้ถึงจุดสมดุลของราตรีกับรัตติกาลที่ยาวนานและเหน็บหนาวกว่าคนปกติทั่วไป เช้าที่เปี่ยมไปด้วยความมึนงงใน สาปของน้ำเมาไหนว่าจะไปทำแบบนี้แล้ว มันก็อดคิดถึงห้วงเวลาที่เคยพบพานสะท้อนอารมณ์แนวดิ่ง จึงไม่อาจปฎิเสธความมืดดำในเงาลวงได้


เป็นอย่างนี้อีกต่อไปคงไม่ดีแน่ หาวิธีหยุดสิ่งที่บั่นทอนนี้โดยเร็วไม่เช่นนั้นห้วงเหวแห่งมหรรณพจะย้อนกลับมากลืนกินทุกสิ่งทุกความทรงจำซ้ำแล้วซ้ำเล่า

วันจันทร์ที่ 3 มกราคม พ.ศ. 2554

ที่ใดมีรักที่นั่นมีทุกข์หนัก

ได้ยินเรื่องราวของเธอแล้ว อดปลงไม่ได้กับสิ่งที่มันเป็นไปในปริมาณมากของคนส่วนใหญ่ที่ล้วนมีความรักต่างเพศหรือในเพศเฉกเช่นเดียวกัน ความควาดหวัง (Expect) ตัวเดียวที่ทำให้ใจคนเราเข้าเขตแดนแห่งความทุกข์จากสิ่งที่ฝ่ายตรงข้ามกระทำกับอารมณ์และคำพูด


คนรักกันเค้าไม่ทำแบบนี้ มุมมองความรักเปลี่ยนไปขาดหายไปจากเดิมมากมายบอกได้ดีว่ามันชินชากับสิ่งรอบข้างทั้งรักทั้งชัง ทั้งน่าสงสารอีกหลายต่อหลายคนที่ทุ่มเทเพื่อสิ่งที่จับต้องได้ยาก เฮ้อทุกข์จริงๆ


แม้แต่คนที่ผ่านร้อนหนาวกับรักร้อยเรื่องราวก็ยังต้องตกอยู่ในสภาพเดียวกับคนที่เพิ่งพูดปลอบใจไป มันเป็นสัจจธรรมที่ยากต่อการห้ามใจจริงๆ


สู้ต่อไปนะคะกับความรักที่สวยงาม สำหรับผมมันคงเป็นสิ่งสวยงามที่ยากต่อการค้นพบมันอีกครั้ง

วันอาทิตย์ที่ 2 มกราคม พ.ศ. 2554

สนอง need เล็กๆ

วันที่หยุดพักจากเรื่องราววุ่นวาย หาแรงบันดาลใจเล็กๆทำสิ่งที่ชอบมันก็เป็นความสุขอีกรูปแบบหนึ่งของคนไม่มีใครอย่างเราโหยหาและปรารถนา

สิ่งที่เกิดขึ้นอาจเป็นแค่จุดเริ่มต้น ของวิถีทางที่เราฝันใฝ่ ไม่มีใครปฎิเสธแรงขับที่อยู่ภายในได้และมันค่อยๆเคลื่อนตัวจากมุมเงียบของภวังค์ออกมาโลดแล่นให้ใจได้สูบฉีดความสุขด้วยตนเองหวังว่าเธอกำลังคิดเหมือนกัน เช้าแห่งความสุขสุดท้ายก่อนต้องเผชิญโลกหัวกลับทางอารมณ์และความรู้สึก


คงไม่มีอะไรดีไปกว่าการทบทวนสิ่งต่างๆที่ผ่านมาแล้วตั้งต้นทำสิ่งใหม่และสิ่งเดิมที่ยังไม่สำเร็จ อย่างน้อยก็มีกำลังใจเล็กๆรอบข้างแม้ความสัมพันธ์มันจะไม่ใช่ในรูปแบบที่เราคุ้นเคยก็ตาม

คงต้องกลับไปทำอะไรหลายๆอย่างในสุดสัปดาห์ ไม่อยากกลับไปสู่วังวนเดิมแต่จะให้ทำเยี่ยงไร เมื่อทุกอย่างมันทำให้เกิดผลลัพธ์แบบนี้ ทำสิ่งที่เจ้าเป็นสุขผลลัพธ์จะทุกข์ขนัดเจ้าจะต้องยอมรับมันเอง

วิถีทาง Fine art

เส้นทางสูงชันของดอยสุเทพแต่หลั่งไหลด้วยผู้คนรถรามากมายจากหลายที่มา แต่ก็ทำให้บรรยากาศที่เดียวดายคึกคักขึ้นมาบ้าง มุมมองที่ต่างออกไปกลับไม่พบเจอสิ่งที่ต้องการเหมือนที่คาดไว้ บ่ายๆเย็นๆยังคงเหมือนเก่า ได้เพียงรูปภาพไม่กี่รูป และความรู้สึกขัดแย้งกับนักท่องเที่ยวทั่วไปที่คาดหวังสิ่งสวยงามยามบ่ายวันหยุด แต่เรากลับลงมาด้วยกระแสจืดจางเฉยเมยกับสิ่งที่พบเจอ อะไรกันวะเนี่ย

วิถีทางของอาร์ตมันไม่ใช่แค่อยากทำแต่มันต้องมีองค์ประกอบอีกมาก มันไม่ใช่แค่การถ่ายรูปแต่มันบ่งบอกถึงอารมณ์คนถ่ายที่ถ่ายเทความรู้สึกออกมาผ่านสีแสงและมุมมอง 

กลับมาสู่ห้องสี่เหลี่ยมในค่ำคืนดึกสงัดสุดท้ายก่อนที่จะต้องตื่นไปพบกับความจริงในอีก 2 วันกับการทำงานช่วงสุดท้ายของสายนี้ นี่เราจะหันหลังให้กับสิ่งที่ทำมาตลอด5-6ปีเหรอวะเนี่ย มันทุกข์นะถ้าต้องฝืนในสิ่งที่ไม่ใช่นานนับวันยิ่งทุกข์หนัก 

หัวใจไร้รอยทางเหมือนเก่า ไม่อยากปรุงแต่งให้ใครต้องมาเป็นตัวละครแห่งห้วงรักของเราอีกแล้ว อยู่นิ่งๆซักพักกับ โลกของเราที่มันควรต้องเป็นของเรา ทำทุกวันให้ดีเถอะนะ

วันเสาร์ที่ 1 มกราคม พ.ศ. 2554

sometimes someday someone

ถ้าคนที่ปรารถนาดี รัก และเข้าใจในตัวตนโดยไม่มีข้อแม้ มันหาง่ายอย่างนั้นคงไม่ต้องมานั่งกินข้าวคนเดียวท่ามกลางผู้คนรายล้อม มากมายผู้คนในวันแรกของศักราชใหม่ มองไปพร้อมกับครุ่นคิดสิ่งต่างๆไปเรื่อย พร้อมกับนมอุ่นขนมปังปิ้งร้านดัง ก็เห็นเพียงผู้คนสมัยนิยมพร้อมพรั่งด้วยหญิงสาวหลายวัยแต่งตัวทันสมัยงดงามแต่มากมายด้วยแนวคิดวัตถุนิยมซ้ายจัด ซึมซับไปสู่คนรอบข้างที่เป็นเด็กเล็ก คนแก่สูงวัย จับจ่ายตามสมัยโดยไม่คำนึงถึงคุณค่าที่แท้จริง แต่ทำไมเรากลับชื่นชอบในบุคลิกดังเช่นเธอเป็นนะ ทั้งที่เกลียดสิ่งที่อยู่ตามเปลือกของเธออย่างเข้าเส้น


คงต้องรอให้โลกหมุนรอบจักรวาลหัวกลับถึงจะหยุดสงครามเศรษฐกิจและวัตถุนิยมจ๋าลงได้


สุดท้ายก็ต้องกินข้าวคนเดียวบนถนนที่คึกคักเส้นหนึ่งในโลกเชียงใหม่ต่อไป


I'm still lonely on the nimman road every day.

ผมจะไม่ลืมยายยิ้ม เย้ยยาก

ได้อ่านสกู๊ป สั้นๆแต่มีนัยทางสัมคมและชีวิตอย่างเอนกอนันต์อดไม่ได้ที่จะต้องนำแนวคิดนี้มาบันทึกลงในจอสี่เหลี่ยมผ่านเครือข่ายหวังว่าสักวันที่มีผู้อ่านมันจะส่งต่อแนวคิดพื้นๆบนรากหญ้าแต่ยิ่งใหญ่กว่าปัจเจกชนในระดับสูงที่แก่งแย่งชิงดี ปีใหม่นี้ถ้าลดวางปล่อยสิ่งต่างๆ ไ้ด้มากขึ้นเราก็จะสุขมากขึ้น ผมขออนุญาตนะครับยาย

ยายยิ้ม มีแค่ "ใจ กับ จอบ" 
"รักในหลวง พระราชินี ท่านเป็นพระเจ้าแผ่นดินท่านยังทำ ยายอยากทำได้แบบที่เขาแนะ ท่านไม่เห็น ผีสางเทวดาต้องเห็น ว่ายายทำจริงด้วยความจริงใจ"
"ทำฝาย หากเกินกำลังมันเกินอยู่แล้ว ถ้าไม่มีความพยายามทำไม่ได้หรอก"
"ถ้าวันนี้เราเหนื่อย กำลังหมด พรุ่งนี้แรงมันก็มีมาเองใหม่"

"เดินไปวัดไกลๆ ไม่ท้อหรอก เหนื่อยก็หยุด อยากไปเจอพระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ เห็นแล้วชื่นใจ สุขใจ  ใครจะว่านรก นี่คือสวรรค์ของยาย ทางสวรรค์มันรก ทางนรกมันเรียบ ไปนรกมันง่ายกว่าสวรรค์"

คุณ ยายยิ้ม จันทร์พร หรือ ยายยิ้ม เย้ยยาก หญิงชราวัย 83 ปี  ชาวจังหวัดพิษณุโลก  ที่เลือกจะอาศัยอยู่กลางป่าลึกตัวคนเดียว  ไร้ระบบสาธารณูปโภคใดๆ มากกว่าแสวงหาความสุขสบายยามบั้นปลายชีวิตในสังคมเมืองกับบ้านหลังโต รถคันงาม  แวดล้อมไปด้วยลูกหลาน เงินทอง  มานานกว่า 20 ปี  ทั้งๆ ที่ไม่ได้ถูกคนในครอบครัวทอดทิ้ง  และยายยิ้มก็ไม่ใช่พวกปฏิเสธสังคม แต่เธอเลือกที่จะ"พึ่งตัวเอง" มากกว่า "ขอความช่วยเหลือ" จากใคร (บุคคลผู้ทรงอิทธิพลด้านสังคม 2553)