วันพุธที่ 17 ตุลาคม พ.ศ. 2561

ข้อคิดจาก สามก๊ก



● กวนอู...

ตาย เพราะหยิ่งในความเป็นทหาร เพิกเฉยต่อการเจรจากับซุนกวนจนสุดท้ายหัวขาดในสถานะผู้แพ้สงคราม


เตียวหุย...

ตาย เพราะลุแก่โมหะ ถือตนว่าเป็นแม่ทัพใหญ่สั่งโบยตีทหารเลว จนสุดท้ายทหารเลวแอบมาปาดคอตอนแม่ทัพใหญ่กำลังเมามาย


เล่าปี่...

ตาย เพราะลุแก่โทสะ อยากแก้แค้นให้กวนอู ถือตนว่าเป็นอ๋องเป็นกษัตริย์จนลืมไตร่ตรองวิธีตั้งค่าย สุดท้ายพลาดท่าถูกลกซุนแม่ทัพหน้าใหม่ของซุนกวนพาทหารมาเผาค่ายจนวอดวาย เล่าปี่บาดเจ็บและตรอมใจตาย


โจโฉ และ ซุนกวน...

ผู้ที่ได้ชื่อว่าจอมทัพและครองพื้นที่ 1 ใน 3 ของแผ่นดินมังกร ตายด้วยอาการประสาทเสื่อม มองเห็นภาพหลอนของคนที่ตัวเองเคยเข่นฆ่า


จิวยี่...

ผู้มีปัญญาล้ำเลิศที่สุดในง่อก๊ก ต้องกระอักเลือดตายเพราะไม่สามารถระงับโทสะที่เกิดขึ้นจากการพ่ายแพ้อย่างราบคาบแก่ผู้มีปัญหาเลิศล้ำกว่าตนที่มีนามว่าขงเบ้ง


จูกัดเหลียง หรือ ขงเบ้ง...

ผู้มีปัญญาเลิศล้ำที่สุดในแผ่นดินมังกร ตายไปพร้อมกับอาการห่วงหน้าพะวงหลัง พะว้าพะวังในราชกิจที่ยังคงคั่งค้าง


ที่กล่าวมาทุกคนล้วนแต่เป็น "วีรบุรุษ" ล้วนแต่เป็น "นักปราชญ์" ล้วนแต่เป็น "เจ้าเหนือหัว"


แต่การมีแค่เพียงพละกำลัง ความรู้ และอำนาจ ไม่ได้ช่วยให้ใครตายสบายสักผู้สักคน ตราบใดที่คนเหล่านั้นยังคงยึดถือ "ตัวตน" หรือ "อัตตา" ในตัวเองอยู่


จะกล่าวถึง ‘เตียวจูล่งหยุน’ (จูล่ง)

แม่ทัพคนสำคัญของเล่าปี่ผู้นี้ฆ่าคนมามาก ไต่เต้าจากตำแหน่งทหารกระจอกจนได้เป็นแม่ทัพใหญ่แห่งจ๊กก๊ก แต่ทุกภารกิจ ทุกศพที่เขาเข่นฆ่า และทุกสงคราม จูล่งไม่เคยเอาอารมณ์เข้าไปผสม จูล่ง "ทำหน้าที่เพื่อหน้าที่" เท่านั้น


แม้ก่อนตายจูล่งจะเสียสถิติ "ขุนศึกผู้ไร้พ่าย" เพราะต้องมีอันพ่ายแพ้ในศึกเทียนสุย จนแทบเอาชีวิตไม่รอด แต่จูล่งก็สามารถละอัตตา สั่งถอยทัพเพื่อรักษาประโยชน์ส่วนรวม และยังปลงใจให้ยอมรับในความจริงที่เกิดขึ้นได้


วาระสุดท้ายของจูล่ง จึงจากไปอย่างสงบ สงบจนพระเจ้าเล่าเสี้ยนถึงกับหลั่งน้ำตาชโลมแผ่นดินมังกรให้แก่ขุนศึกผู้เปรียบเสมือนบิดาของตนเอง


ความเครียดจากชีวิตยุคดิจิทัล คงไม่ได้เกิดมาจากความลำบากในการทำงานอย่างเดียว ไม่ได้เกิดมาจากความผิดพลาดหรือผิดหวังอย่างเดียว


แต่เกิดจากการที่เรา เอาตัวเรา เข้าไปผสมกับงาน ผสมกับผลการสอบ กับผลการประเมิน กับเงินเดือน หรือกับสิ่งต่างๆ รอบกาย


พระพุทธองค์จึงทรงสอนให้เรา ละตัวตน + ลดอัตตา...ทำหน้าที่ = เพื่อหน้าที่

วันอังคารที่ 16 ตุลาคม พ.ศ. 2561

เบื้อบนยังมีแสงดาว (วินทร์ เลียววาริณ)


        ชาร์ล สวินดอลล์ เคยกล่าวว่า สิ่งสำคัญที่สุดในชีวิตไม่ใช่เงินตรา การศึกษา ความสำเร็จ หากคือคำคำเดียว : ทัศนคติ

         ทัศนคติสำคัญกว่าความจริง สำคัญกว่าอดีต สำคัญกว่าเปลือกนอก พรสวรรค์ ความเชี่ยวชาญ
ท่านกล่าวว่า "ชีวิต คือ ๑๐ เปอร์เซ็นต์ของสิ่งที่เกิดขึ้นกับข้าพเจ้าและ ๙๐ เปอร์เซ็นต์ของปฏิกิริยาของข้าพเจ้าต่อสิ่งที่เกิดขึ้นและมันก็เป็นกับคุณเช่นกันเราเป็นคนดูแลทัศนคติของเราเอง"
เราทุกคนเกิดมาโดยไม่สามารถเลือกข้อแม้ของการเกิด ไม่สามารถเลือกชาติกำเนิด ฐานะคุณภาพสมอง ความแข็งแรงทางกายภาพ ฯลฯ แต่อย่างน้อยที่สุด เราสามารถเลือกที่จะมองโลกด้วยสายตาแบบบวกหรือลบ เราอาจไม่สามารถเปลี่ยนแปลงเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นในวันหนึ่ง ๆ ก็จริง แต่สามารถผ่านชีวิตวันนั้นหรือทั้งชีวิตไปได้ด้วยดีหากเรามีทัศนคติที่ดี
หากชีวิตแรกเกิดเป็นผืนผ้าใบว่างเปล่าเราแต่ละคนต่างก็ได้รับพู่กันกับสีบางคนโชคดีได้รับหลอดสีสดใส บางคนได้รับหลอดสีดำหม่น แต่ไม่ว่าจะเป็นสีสดหรือสีดำ เราต่างสามารถระบายภาพที่ต้องการให้สวยงามได้
          กวีชาวอังกฤษ เฟรเดอริก แลงบริดจ์ เขียนไว้ใน A Cluster of Quiet Thoughts (1896) ว่า "สองคนยลตามช่อง : คนหนึ่งมองเห็นโคลนตม คนหนึ่งตาแหลมคม เห็นดวงดาวอยู่พราวพราย"
จะเลือกเป็นสุขหรือเลือกเป็นทุกข์อยู่ที่ตัวเราเองทั้งสิ้น
บางครั้งในความมืดมนที่สุดของชีวิต ทัศนคติที่ดีอาจช่วยเป็นแว่นขยายให้เราเห็นภาพต่าง ๆ ชัดขึ้น และพบว่า ในความมืดยังมีจุดสว่าง

"สองคนยลตามช่อง คนหนึ่งมองเห็นโคลนตม...
คนหนึ่งตาแหลมคม เห็นดวงดาวอยู่พราวพราย"
Two men look out through the same bars One sees the mud and one the stars.
Frederick Langbridge
A Cluster of Quiet Thoughts (1896)


แปลโดย เจษฎาจารย์ ฟ. ฮีแลร์"


วันพฤหัสบดีที่ 25 ตุลาคม พ.ศ. 2555

วิถีทางแห่งลูกหนัง2

                  ยุคของการเปลี่ยนผ่านรูปแบบการเล่นเท่าที่ผมสังเกตในลีคยุโรป จริงๆนั้นน่าจะเป็นยุคที่บอลกลายเป็นกีฬาที่มีธุรกิจมาเกี่ยวข้องเต็มรูปแบบ เนื่องด้วยเทคโนโลยีที่พัฒนาไปมากกอปรกับการสื่อสารมีความล้ำหน้าการถ่ายทอดสดฟุตบอลทางทีวีนั้นมีหลากหลายมิติเพิ่มทางเลือกให้ผู้ชมได้เข้าถึงได้มีส่วนร่วมได้รู้สึกว่าเราเป้นส่วนหนึ่งของสโมสรของทีมนั้นๆ ความMass มันเข้ามาครอบครองตลาดฟุตบอลโดยที่เราไม่รู้ตัวเผลออีกทีอ่าวมีเสื้อมีของที่ระลึกของทีมโปรดอยู่เต็มบ้านผ่านไปฤดูกาลแล้วฤดูกาลเล่าเริ่มจากการสะสมวีดีโอ จนมาถึงซีดี หนังสือต่างๆ เสื้อทีม ผ้าพันคอ ของแท้บ้างก๊อปบ้างก็ว่ากันไป แต่สิ่งหนึ่งที่ชัดเจนคือการขยายฐานตลาดบอลของทีมอังกฤษในเอเชียตั้งแต่ยุคที่นากาตะไปเล่นในซีรี่ อา ตามด้วยนักเตะพลังโสมหลายคนตามไปในบุนเดส ลีกา (ส่วนหนึ่งพวกยุ่นพวกโสมมันเก่งจริง) และพี่ไทยเราก็พยายามยัดเยียดกองหน้าฝีเท้าดีทีมชาติไทยในขณะนั้น ซิโก้ เกียรติศักดิ์ เสนาเมือง ไปสู่ทีมบอลในเกาะอังกฤษ แม้จะไม่ได้เริ่มในลีคสูงสุดแต่ก็ไปโดนเค้าหลอกจากเอเย่นกากๆทำให้ เสียโอกาสหลายอย่าง ตอนนั้นความฝันที่จะเห็นคนไทยในพรีเมียร์ ลีคก็ดับลงไป จนมายุคที่เรามีนายทุนใหญ่ชื้อเหมือนฟัก(แม้ว) ที่เค้าเอายอดมาผัดอร่อยๆอ่ะครับ เราก็มีโอกาสได้นำนักเตะไปสัมผัสความเป็นมืออาชีพที่แมนซิ 3-4คนก็ยังดีครับเพราะรู้อยู่ว่าเจ้าของคนไทยไงก็ได้ลงแต่แค่ทีมสำรองนะจ๊ะ 555 จากนั้นก็ขายให้กลุ่มทุนจากตะวันออกกลางจากนั้นก็ บลาๆๆ จนมาเป็นแชมป์ลีคสูงสุดของอังกฤษในวินาทีสุดท้ายเมื่อปี 2011-2012 ชนิดที่เรียกว่าพระเจ้ายังไม่กล้าเขียนสคริปนี้ให้ป๋าเฟอร์กี้ต้องเงิบจนวินาทีสุดท้าย แต่ก็ถือว่าเป็นอรรถรสที่เรียกว่ามันพระย่ะค่ะทีเดียว เพราะผมดูบอลมาเกือบทั้งชีวิตยังไม่ลุ้นเท่าวันนั้น ขนาดผีชิงยุโรปกับเสื้อใต้ที่โซลชายิงทดเจ็บยังไม่เท่าวันนั้นเลยครับ
                   จากตอนแรกเป็นเด็กหงส์ดีๆมาพูดแต่แมนซิกับผีเอ๊ะยังไง ท่านที่เป็นแฟนทีมไหนอย่าเพิ่งเหวี่ยงใส่กันครับถ้าชอบฟุตบอลกลมๆเหมือนกันติดตามต่อในบทหน้าครับว่าภาพจำของผมเกี่ยวกับลูกหนังในสไตล์เซียนบอลติสจะเป็นอย่างไรต่อไป

วันจันทร์ที่ 22 ตุลาคม พ.ศ. 2555

วิถีทางแห่งลูกหนัง 1

         โลกของลูกหนังตั้งแต่อดีตจนถึงปัจจุบันมีเรื่องราวมากมายมีตำนานทั้งที่ยังโลดแล่นอยู่และล้มหายตายจาก รวมทั้งบางคนได้ผันตนเองไปสู่โค้ชผู้ฝึกสอนหรือคร่ำหวอดอยู่ในวงการฟุตบอลก็เยอะ สำหรับบทความนี้อาจเป็นการกล่าวถึงภาพรวมของโลกทุนนิยมลูกหนัง ชีวิตพ่อค้าแข้งหรือเกร็ดเล็กน้อยอิงปรัชญาและความเป้นจริงตามวิถีทางของลูกหนังหรือฟุตบอลสมัยใหม่ในยุคที่ผู้เขียนมีลมหายใจอยู่ทั้งในวัยเด็กยุค 80 จนถึงปัจจุบัน (I phone 5 กำลังวางตลาด) ทั้งบอลอังกฤษ ยุโรปและเสียดสีสีลีคไทยบ้าง ตามที่ผู้เขียนได้วิเคราะห์และหาข้อมูลอยู่ในวงการลูกหนังมาทั้งชีวิต (เกือบ 30 ปี)
              ฟุตบอลอังกฤษในยุค80 -90 นั้นต่างจากปัจจุบันอย่างสิ้นเชิงทั้งรูปแบบการเล่น การตลาดข้อมูล ต่างๆ ความยากง่าย ในการเข้าถึงภาพเสียง บทวิเคราะห์ บทสัมภาษณ์เมื่อก่อนจะได้อ่านผ่านกระดาษหนังสือพิมพ์ผ่านคอลัมภ์นิสต์กรองมาให้เราอีกทอดหนึ่งแต่ปัจจุบันทุกคนสามารถโพสแชร์ แสดงความคิดเห็นทั้งในแบบเป็นทางการ เสียดสีทีมคู่แข่งแบบเกรียนๆ (ปัจจุบันคน comment เกรียนมากใน pantip.com) พูดง่ายเชียร์บอลสมัยใหม่ไม่รู้ไม่ได้ พยายามไม่รู้ก็มีคนมาโพสให้เห็นข้อมูล ให้เจ็บช้ำอยู่ร่ำไปไม่ว่าทีมจะชนะแพ้หรือข่าวสารอัพเดทอะไร ผู้เขียนเติบโตมาในยุคที่หงส์แดงหรือปัจจุบันมีคนตั้งฉายาให้ใหม่ว่าเป็ดแดง (เดาว่าเป็นแฟนผี) มีอิทธิพลต่อบอลอังกฤษเป็นอย่างมากเนื่องจากได้แชมป์ลีกสูงสุดหลายสมัยติดต่อกัน เอียนรัช จอห์น บานส์ สตีฟ แม็คมานามาน ต่อเนื่องมาถึง ฟาวเลอร์ ล้วนแต่เล่นบอลกันด้วยความ เมพขิงๆ (เด็กเกรียนเล่นเกมพิมพ์ผิดเนื่องจากคีย์บอร์ดใกล้กันมากจริงๆมันคือ เทพจริงๆ) สำหรับรูปแบบการเล่นนั้นผมได้ดูผ่านรายการเจาะสนามทางช่องเจ็ดสีทีวีเพื่อคุณโดยคุณ ย โย่ง แกจะพากย์มันมากตอนที่ลูกเข้าประตู หงส์ยุคนั้นต่อบอลทั้งสั้นยาวได้แม่นยำจบสกอร์เฉียบคม ตอนนั้นผู้เขียนน่าจะไม่เกิน ป.2 คนที่อ่านมาถึงตรงนี้เริ่มจะคิดในใจแล้วว่า ไอ้นี่มันเด็กหงส์แน่...อย่าเพิ่งสรุปครับมาดูกันต่อ ผมโตมากับการเตะบอลบ้าบอลพลาสติก บางครั้งเอาลูกเทนนิสมาเตะ หลังจากจบรายการเจาะสนามตอนบ่ายก็จะบ้าบอเตะอยู่อย่างนั้นจนเย็นมโนว่ามีเพื่อนเตะด้วยหลายคนทั้งที่ชิ่งกับพนังบ้างฟุตบาตถนนบ้าง อยู่อย่างนั้นจนคิดว่าตัวเองชอบลิเวอร์พูล เป็น red machine กะเค้า แต่อะไรคือจุดเปลี่ยนของโลกลูกหนังของผมต้องตามดูกันต่อครับในครั้งต่อไป

วันพฤหัสบดีที่ 26 กรกฎาคม พ.ศ. 2555

เม็ดฝนใสๆและกลิ่นไอดิน

         เมื่อครั้งยังเด็กเล็กนั้น กลิ่นกรุ่นของไอดินเวลาเม็ดฝนตกกระทบนั้นมีความหอม อากาศในบ้านพักตำรวจแสนเย็นสบาย มีแคร่ไม้หน้าไว้นอนเอนกาย เปียกชุ่มไปด้วยหยาดฝนที่สาดเข้ามาพวกเรารีบเร่งกางผ้าใบเพื่อป้องน้ำฝน จากนั้นรางน้ำผ่านดินแน่นๆก็เริ่มไหลเป็นทางบรรดาของเล่นพลาสติกสีสันสวยงาม ทั้งที่เป็นรถ เป็นเรือ หุ่นยนต์ถูกขนลงมาในร่องน้ำตื้นๆนั้น ไม่กลัวเป็นหัวดไม่ว่าจะมีเสียงก่นด่าจากใครก็ตาม มันเป็นช่วงเวลาและบรรยากาศที่ดี ช่วงสั้นๆ ที่เราจะได้สนุกไปกับสายฝนหลังจากฝนซาเม็ดลง เย็นย่ำพอดีเราเริ่มเช็ดแคร่จัดแจงเตรียมอาหารมื้อเย็นแสนอร่อย หมูทอดชิ้นหนา ไข่เจียวที่ธรรมดา แต่น้ำพริน้ำปลาขั้นเทพ พะโล้น้ำข้นที่เราต่างชาบูในรสชาติ เย็นวันไหนมีเขาทรายต่อย ข้าวมื้อนั้นจะเย็นกับข้าวจะชืด เราจะเก็บสำรับกันค่ำเลยทีเดียว นี้เป็นบรรยากาศเสี้ยวหนึ่งของบ้านพักตำรวจในจังหวัดตาก ยังคงคิดถึงเย็นวันเหล่านั้นที่ไม่อาจกลับมาอีก แต่ยังคงชัดเจนในความทรงจำที่ซื่อสัตย์ของผม

วันศุกร์ที่ 4 พฤษภาคม พ.ศ. 2555

super moon

          คืนวันที่ 5 พค 2555 จะมีปรากฎการณ์ดวงจันทร์โคจรใกล้โลกที่สุดอีกครั้งหนึ่งจะสามารถมองเห็นจันทร์กลมโตสีสดใสกว่าครั้งไหนๆ สมัยยังเยาว์วัยมีตำนานเล่าขานถึงพระจันทร์สองดวงชายหญิงที่ต้องพลัดพรากจากกัน จนเหลือเพียงดวงเดียว อีกดวงแตกสลายไปเป็นดวงดาวเพื่อออกตามหาจันทร์ผู้หญิงที่ไปหลงไหลเสน่ห์พลังแสงจ้าของดวงอาทิตย์เพียงชั่วครา ว่ากันว่าเมื่อเราเห็นดวงจันทร์ชัดมากเท่าไร เราก็ไม่อาจเห็นดวงดาว เฉกเช่นเดียวกัน หากเราเห็นดวงดาวชัดมากเท่าไรในคืนนั้นเราก็ไม่เห็นแม้เงาจันทร์เช่นเดียวกัน ทั้งสองถูกสาปให้ไม่ประพบเจอกันอีก ที่มาของข้างขึ้นข้างแรมที่ผูกโยงด้วยเรื่องรักใคร่ของตัวแทนบนฟากฟ้า กับมนุษย์มนาที่อยู่เบื้องล่าง จันทรา ท้องฟ้า ดวงดาว พระอาทิตย์ยังโคจรต่อไปอย่างช้าๆ ชีวิตเราก็ผ่านล่วงเลยไป มีนัยแฝงถึงการอยู่กับปัจจุบันธรรมชาติหล่อเลี้ยงให้ชีวิตต้องดำเนินต่อไปท่ามกลาง สภาพสังคมโลกที่แต่ละมุมก็แตกต่างกันออกไป โลกที่เป็นหนึ่ง The one

วันพฤหัสบดีที่ 12 เมษายน พ.ศ. 2555

คู่ชีวิต or ชีวิตคู่

           ในเดือนเมษา 2555 นี้จะเห็นได้ว่ามีข่าวดารา คนดัง คนรู้จักรอบข้างในสังคมเราหลายๆคนหลายๆคู่กำลังมีงานแต่งงานกันอย่างหนาแน่นด้วยวันดีฤกษ์งามก็ดีตามแต่สะดวก การมีชีวิตแต่งงานหรือชีวิตหลังแต่งงานที่ดีนั้น ทุกคนคงถวิลหาชีวิตแบบนั้นโดยเฉพาะกับหญิงสาววัยใกล้หลักสาม หรือเลยหลักสามใกล้หลักสี่ ที่อยากจะลงเอยกับผู้ชายดีๆซักคนที่เห็นว่าเขาคนนั้นจะสามารถดูแลหรือเติมเต็มให้ชีวิตหญิงสาวเหล่านั้นมีความสุขตามอุดมคติของแต่ละคน หากมองในมุมของคนที่ใช้ชีวิตตามครรลองของสังคมก็คงเป็นเรื่องปกติซึ่งซักวันหนึ่งเมื่อถึงวัยถึงเวลาอันสมควรพ่อแม่พี่น้องเพื่อนฝูงก็จะเป็นตัวเร่งปฎิกิริยาความใคร่อยากนั้นให้ชีวิตชายหรือหญิงตกล่องปล่องชิ้นกันในที่สุด แต่หากมองในมุมของคนที่ผ่านการแต่งงานหรือมีชีวิตคู่ที่ล้มเหลวทั้งในรูปแบบมีการทำนิติกรรมหรือโดยพฤตินัยแล้ว คงมีคำถามเกิดขึ้นมากมายก่อนที่จะริเริ่มความสัมพันธ์อย่างจริงจังในอนาคต
            คู่ชีวิต อาจไม่จำเป็นต้องเป็นคนที่เรารักหรือมีความเหมาะสมในทางสังคม ในเชิงอุดมคติการที่จะแสวงหาอีกหนึ่งคนเข้ามาแลกเปลี่ยนเรียนรู้รับรู้หลายๆสิ่งอย่างกับหนึ่งชีวิตไม่ใช่เรื่องง่ายที่จะหาเจอแต่หากลดทอนความคาดหวังมองในความเป็นจริงมากขึ้น ละทิ้งอดีตเริ่มต้นใหม่มองเพียงวันพรุ่งนี้เชื่อว่าหลายคนก็สามารถประสบความสำเร็จมีชีวิตแต่งงานที่อาจจะสุขไม่มากแต่ก็ไม่ถึงกับทุกข์ได้ บางคนอาจไม่ได้รักคู่ชีวิตของตนเท่ากับแฟนเก่าที่เคยคบหากันมาแต่คู่ชีวิตไม่ได้เพียงตอบสนองในเรื่องความรักความใคร่เพียงมิติเดียวหากแต่ในอนาคตจะร่วมกันฝ่าฟันอุปสรรคปัญหาของคนคู่ที่อยู่ร่วมกันไม่ว่าจะเป็นเรื่องครอบครัว เศรษฐกิจ สังคม ความสัมพันธ์ต่างๆไปด้วยกันอีกมากมาย จากประสบการณ์ของผม มีหลักคิดง่ายเกี่ยวกับการเลือกคู่ครองก็คือ อยู่กับปัจจุบัน มองความสุขใกล้ๆตัว เลือกคนที่เราคิดว่าเข้ากับอุปนิสัยเราได้ดีในสถานการณ์ปกติไม่หลอกความรู้สึกตัวเอง และที่สำคัญหากเรามีโอกาสเลือกคนที่เค้ารักเราได้จงทำสิ่งนั้น เพราะในชีวิตหนึ่งของคนเรามีโอกาสน้อยมากที่จะได้ลงเอยกับคนที่เราก็รักเค้าแล้วเค้าก็รักเรา ตามกฏแห่งจำนวนมากที่อาศัยcaseจำนวนมากๆ ระยะทางของชีวิตคู่ของคนที่อยู่กับคนที่รักเรายาวไกลกว่า การใช้ชีวิตคู่อยู่กับคนที่เรารักเค้า แต่ก็อีกนั่นแหละไม่มีสิ่งใดตายตัว เพราะตัวผมเองก็ละทิ้งโอกาสของการอยู่ร่วมกับคนที่เค้ารักเรามานักต่อนัก

           รักอาจลดความสำคัญของมันเองลงไปตามกาลเวลา แต่ความเข้าใจในชีวิตคู่จะช่วยให้เราสามารถประคับประคองความสัมพันธ์ของท่านกับคู่ชีวิตไปได้ตลอดรอดฝั่ง